จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็น 1 ใน 10 จังหวัดที่ประสบภัยน้ำท่วมหนัก น้ำป่าไหลบ่ารวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว วันนี้จึงสิ้นหวังหมดเนื้อหมดตัว ลงสนามข่าวกับคุณศจี วงศ์อำไพ
เช้ามืดวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา ไม่มีใครคาดคิดว่า น้ำป่าจากเทือกเขาหลวงไหลบ่าลงมาอย่างรวดเร็ว กวาดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า พังราบหายเป็นหน้ากลอง สวนยางพาราหลายร้อยไร่ และพื้นที่การเกษตรอื่นๆในอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เสียหายเป็นบริเวณกว้าง โดยเฉพาะที่ราบลุ่ม ระดับน้ำท่วมสูงเกือบ 2 เมตร ชาวบ้านเดือดร้อนหนัก อพยพหนีน้ำแทบไม่ทัน หลายหมู่บ้านถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ขาดแคลนน้ำและอาหาร ทนทุกข์สาหัส ไม่นานเจ้าหน้าที่รัฐก็ระดมกำลังออกช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ให้กับชาวบ้าน
ผ่านมา 3 วันสถานการณ์เริ่มดีขึ้น ระดับน้ำเริ่มลดลง แต่ชาวบ้านก็ไม่อาจกลับเข้าไปอาศัยได้ดังเดิม เพราะบางหลังน้ำป่าพัดบ้านพังหายไปต่อหน้าต่อตา
อย่างครอบครัวลุงผัน จันทร์ภักดี อายุ 53 ปี แทบสิ้นเนื้อประดาตัว เมื่อบ้านที่อาศัยมากว่า 40 ปี ถูกน้ำป่าซัดพังเสียหายไปทั้งหลัง เคราะห์ดีที่ลุงผันตื่นแต่เช้า ได้ยินเสียง เห็นน้ำโคลนถาโถมไหลมาแต่ไกล จึงรีบวิ่งไปปลุกลูกๆ วิ่งหนีตายขึ้นที่สูงรอดหวุดหวิด
ลุงผันยังเล่าอีกว่า เมื่อปี 2554 บ้านหลังนี้เคยถูกน้ำป่าซัดพังเสียหายมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นทางการเสนอให้ย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่น แต่ลุงผันเลือกที่จะอาศัยที่เดิม เพราะผูกพันกับถิ่นฐานเดิม ไม่คิดว่าวันนี้จะต้องมาเผชิญอุทกภัยหนักอีกครั้ง หมดตัวจริงๆ ไม่เหลือแม้แต่เสื้อผ้า จากนี้ไปตัดใจขอย้ายออกนอกพื้นที่
ขณะที่ผู้เป็นภรรยาก็ยอมรับเหมือนผันร้าย น้ำมาเร็วมาก ชั่วพริบตาบ้านที่เป็นร้านค้าก็พังราบ แต่ก็ไม่สิ้นหวังจะขอต่อสู้ชีวิตต่อไป
อุทกภัยครั้งนี้นับว่าหนักที่สุดในรอบ 30 ปี ซึ่งทางจังหวัดสุราษฎร์ธานีประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ 11 อำเภอ มีผู้เสียชีวิต 4 คน ถนนถูกตัดขาด 12 สายจะต้องเร่งซ่อมแซม แต่ช่วงนี้ยังมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ เพื่อลดความเสียหาย จึงต้องประกาศเฝ้าระวังในอำเภอพระแสง เคี่ยนซา เวียงสระ บ้านนาสาร พุนพิน และอำเภอเมือง เพราะน้ำป่าอาจจะไหลบ่าเข้าท่วมอีกระลอก
