เจ้าของเพจหมอตุ๊ดกลับมากับลุคคุณหมอหนุ่มสุดแซ่บฝีปากกล้า ตอบปัญหาความรักเป็นเริด ทำเอาชะนีหลากเพศกว่าแสนคนตามติดเพจของเจ้หมองอมแงม เป็นการเปลี่ยนมุมมองเบสิก ฉีกกฎเก่าๆ ให้แตกต่างโดยสิ้นเชิง
INSPIRATION
แต่กว่าจะมาเป็นเจ้าของเพจยอดฮิตคนดัง ช่วงชีวิตที่ผ่านมาของคุณหมอ คือ ชีวิตของเนิร์ดสไตล์อย่างแท้จริง วัยเด็กของคุณหมอแพทใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักเขียน เพราะชื่นชอบการอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ ถึงขนาดวางแพลนจะเรียนอักษรฯ จุฬา แต่สุดท้าย ถูกคุณพ่อคุณแม่สะกิดต่อมการตัดสินใจด้วยการแจกแจงค่าใช้จ่ายในการเรียนที่ผ่านมา และพูดด้วยประโยคที่ว่า “ลูกคิดว่าค่าใช้จ่ายของลูกต่อไปจะเพิ่มขึ้นมั้ย เพราะฉะนั้น ถ้าลูกจะเรียนอะไรต่อไป อยากให้มั่นใจว่างานที่ตัวเองเลือกทำ จะสามารถเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ลำบาก โดยไม่ต้องเลี้ยงพ่อแม่ก็ได้” และการมองอย่างลึกซึ้งของคุณแม่ที่เห็นแววความเป็นหมอในตัวลูกชาย จึงเป็นจุดเริ่มแรกของคุณหมอในการเข้าเรียนคณะแพทยศาสตร์ที่ม.ธรรมศาสตร์ แม้ว่าการเรียนเป็นนักศึกษาแพทย์ฝึกหัดจะไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเท่าความมุ่งมั่นที่มี คุณหมอสนุกกับการเรียนร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเพื่อนๆ ที่อยู่หอด้วยกัน ผ่านสังคมที่คุณหมอเรียกว่า “เด็ก Geek” (มากกว่าเด็ก Nerd) ผ่านช่วงเวลาปรับตัวในปี 4 กับการเริ่มขึ้นคลินิก เป็นผู้ช่วยหมอ และใช้เวลาทั้ง 7 วันกับการทุ่มเทฝึกหัดเรียนรู้วิชาชีพแพทย์ ที่แสนทรมาน และการเรียนที่หนักหน่วงเนื้อหามากที่สุดในช่วงปี 6 แต่สุดท้ายความมุ่งมั่นทั้งมวลก็สำเร็จด้วยรางวัลเป็นปริญญาเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง และหลังจากการเรียนที่เหน็ดเหนื่อยก็เป็นที่มาของชีวิตสุดแซ่บทั้งสาขาวิทย์และศิลป์นับแต่นั้นเป็นต้นมา
IMPORTANT IN A CAREER
“หลังจากเรียนจบใหม่ๆ โชคดีมากว่า คนที่จบเกียรตินิยมมา ไม่ต้องออกไปใช้ทุนทำงานข้างนอก แต่อาจารย์ยังดึงเราไปเป็นผู้ช่วยอยู่ในโรงเรียนแพทย์ต่อ ก็เหมือนเราได้เป็นนักเรียนแพทย์ที่อัพเลเวลขึ้นมาหน่อย คือยังมีอาจารย์คอยสอน ได้เจอเคสยากๆ เหมือนได้เรียนต่อในทุกๆ วัน สามปีเต็ม ไม่รู้สึกว่ามีช่วงไหนที่ดราม่า เพราะได้เลือกในสิ่งที่ตัวเองชอบแล้ว หลังจากนั้นก็มาต่อเฉพาะทางด้านสมอง และได้มีโอกาสทำงานในโรงพยาบาลเอกชนต่อ แต่ว่าก็ยังชอบบรรยากาศในโรงเรียนแพทย์อยู่ตลอด เคสยากๆ ในการทำงานเจอทุกวัน บางทีก็จะขอกลับไปที่โรงเรียนเพื่อขอความเห็นจากอาจารย์บ้าง เพราะว่าแพทย์ไม่ได้ทำงานคนเดียว แพทย์ทำงานเป็นทีม ถึงแม้เรียนจบไปแล้ว เรายังมีแบ็กอัพที่ดีอยู่เสมอ การสื่อสารกับคนไข้ก็สำคัญ บางครั้งยากตรงที่ด้วยจรรยาบรรณของแพทย์เราต้องรักษาความลับของผู้ป่วย แต่ผู้ป่วยยังไม่บรรลุนิติภาวะ และผู้ปกครองเขาเป็นคนออกค่าใช้จ่าย เพราะฉะนั้น ต้องอาศัยประสบการณ์เยอะๆ เพื่อจะบอกเราได้ว่าถ้าเจอแบบนี้เราควรจะทำยังไง แต่ตลอดชีวิตการเรียนและการทำงานก็ทำให้เราได้เรื่องราวมากมายมาเป็นวัตถุดิบในการเขียน ก็เลยเริ่มมีจากการทำเพจขึ้นมาก่อน เริ่มจากเล่าเรื่องสมัยเป็นหมอ จนกระทั่งคนมาปรึกษาปัญหาเรื่องความรักด้วย แล้วก็เริ่มมีคนมา FOLLOW เยอะขึ้น จนมามีหนังสือเล่มแรก “WAKE UP ชะนี!” รวบรวมเรื่องราวความรักที่ทำให้เข้าใจผู้ชายมากขึ้น ซึ่งฟีดแบ็กก็ดี ทั้งจากคนอ่าน รวมถึงคนไข้และเพื่อนๆ แพทย์ก็บอกว่าชอบ อนาคตก็หวังว่าจะได้มีโอกาสเขียนนิยายแบบเป็นซีรีส์สักเล่ม หรือเป็นที่ปรึกษาเขียนบทละครบ้าง ส่วนเรื่องเรียนต่อ ตอนนี้กำลังแพลนว่าปีหน้า 2017 จะไปเรียนต่อต่างประเทศ เพื่อหาความรู้ทางวิชาชีพแพทย์เฉพาะทางให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น”
HOW TO WORK
“อาชีพหมอจบมาแล้ว คือมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีนะ แต่อย่างตอนที่เราเป็นหมอฝึกหัดใหม่ๆ ตอนนั้นอายุแค่ 20 กว่าๆ มันก็คือเด็กคนหนึ่งที่เพิ่งเริ่มเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ปกติอาชีพทั่วๆ ไป เวลาทำงานเราจะมีขั้นความเป็น JUNIOR จนไปเป็น SENIOR มีรุ่นพี่มาสอนงานให้ แต่พอเป็นหมอปุ๊บ คนไข้จะคาดหวังทันที ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ว่าหมอจะวินิจฉัยยังไง จะรักษายังไง เพราะฉะนั้น มันเหมือนกระโดดตูมจากเด็กไปเป็นผู้ใหญ่เลย นั่นคือช่วงที่ยากที่สุดของต้องปรับตัว แต่ก็อาศัยการสะสมประสบการณ์ จนตอนนี้ก็ 12 ปีแล้วกับการเรียนรู้ ทุกวันนี้มีความสุขที่ได้ทำงาน ไลฟ์สไตล์มาคือตื่นเช้าไปโรงพยาบาล ทำงานเสร็จกลับบ้าน ออกกำลังกายเข้ายิมอย่างน้อย 2 ชม. อาทิตย์หนึ่งหมอจะให้เวลาสองวัน อ่าน JOURNAL ใหม่ๆ เพื่ออัพเดทความรู้ อีกสองวันอ่านหนังสือของนักเขียนคนอื่นๆ บ้าง ศุกร์เสาร์อาทิตย์ถึงจะใช้เวลากับงานเขียนของตัวเอง หมอชอบเขียนงานตอนพระอาทิตย์ตกดิน ช่วงพระอาทิตย์ตกดินวันหยุดจะกลายร่างเป็นนักเขียนไปนั่งที่ร้านกาแฟบรรยากาศสงบๆ สักร้าน พอเช้ามาวันจันทร์วันทำงานก็กลับมาเป็นคุณหมอเหมือนเดิม”
THINKING TO CAMPUS
“น้องๆ ที่อยากเป็นแพทย์ หมอจะไม่มีคำแนะนำด้านวิชาการ เพราะคิดว่าทุกคนน่าจะต้องมีการเตรียมพร้อมเรื่องเรียนอย่างเต็มที่อยู่แล้ว แต่สิ่งที่อยากจะฝากเลย คือ การเตรียมนิสัยและความพร้อม คุณพร้อมที่จะเป็นหมอหรือเปล่า พร้อมที่จะเปิดรับการเรียนตลอด 24 ชม. มั้ย พร้อมที่จะเสียสละเวลาได้หรือเปล่า ช่วงที่เรียน หมอโดนแฟนบอกเลิกตอนที่กำลังใส่ท่อช่วยชีวิตให้คนไข้ วินาทีนั้นอยากร้องไห้ แต่ก็ทำไม่ได้ ต้องอดทนอดกลั้นช่วยคนไข้ต่อ มาร้องอีกทีหลังจากเวลาผ่านไปแล้ว 10 ชั่วโมง สุขภาพล่ะ? แข็งแรงพอมั้ย เพราะว่าต้องเรียนหนักและมีเวลาพักผ่อนน้อย คุณมีความตั้งใจจริงหรือเปล่า? ไม่ได้เรียนเพราะแค่คิดว่าตัวเองเรียนเก่งเลยเลือกเป็นหมอ สำรวจตัวเองให้ดีก่อนว่าเราพร้อมกับสิ่งเหล่านี้หรือยัง”