บนเส้นทางสายเปลี่ยว

199-1021x580

เป็นเหตุการณ์จริงที่คุณเบลส์ประสบมากับตัว เกิดขึ้นเมื่อสมัยที่คุณเบลส์อายุได้ประมาณ 17-18 ปี

คุณเบลส์เล่าว่า.. ผมเป็นคนเชียงราย พ่อกับแม่ทำงานที่เชียงใหม่ ด้วยหน้าที่การงาน ทำให้ผมกับ

น้องชาย ต้องอยู่บ้านตากับยายที่เชียงราย เดือนนึงพ่อกับแม่จะมาหาสักครั้ง หรือไม่ท่านก็จะมารับวัน

ศุกร์เย็นๆ หลังเลิกเรียน เพื่อไปบ้านที่เชียงใหม่ สมัยนั้นบ้านผมจะมีรถมาสด้ารุ่นเก่าคันเล็กๆ

แล้วมีแคปเป็นหลังคาอยู่ด้านหลังครับ

วันนั้นจำได้แม่น เป็นคืนวันศุกร์นี่ล่ะ ทุกครั้งที่พ่อแม่มารับผมกับน้อง เราจะออกจากเชียงรายราวๆ

4 โมง เพื่อจะได้ไปถึงเชียงใหม่ไม่ดึก และปลอดภัย ถ้าใครเคยขับรถเส้น เชียงราย-เชียงใหม่ จะรู้ว่า

ถนนเปลี่ยวมาก ทางโค้งคดเคี้ยว ขึ้นเนินลงเนินเยอะมาก เรียกว่าเป็นการขับรถข้ามภูเขา เข้าป่าก็ว่า

ได้.. วันนั้นเป็นวันที่พ่อผมดันมีธุระ กว่าเราจะออกจากเชียงรายได้ก็ 6 โมงเย็นแล้วครับ.. ขับมาเรื่อย

ออกมาได้ไม่นานก็มืดละ และเป็นช่วงหน้าหนาว มีหมอกบางๆ

ทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลง พ่อเลยขับช้า

ขับมาสักพัก เข้าเขตป่าทึบที่สองข้างทางไม่มีหมู่บ้าน ไม่มีไฟข้างทางเลย รถก็เกิดอาการกระตุกๆ

ผมกับแม่มองหน้ากันเลิ่กๆ ลั่กๆ พ่อเริ่มลดความเร็วลงอีก จนสักพักจากกระตุก รถมันก็ดับไป..

ประเด็นคือ ดับตรงที่ที่เปลี่ยวมาก! มีไฟกิ่งข้างทางอยู่หนึ่งต้นด้านหน้า ห่างไปประมาณเกือบ 100

เมตรจากจุดที่รถดับ คือดีงามมากจุดนี้.. พ่อผมออกไปเช็คข้างนอก เปิดดูฝากระโปรง และบอกให้เรา

ทุกคนอยู่ในรถ จังหวะตอนที่พ่อออกไป สายตาพวกเราในรถ เริ่มชินกับความมืด บรรยากาศรอบๆ

หดหู่มาก แม่ผมเริ่มใจไม่ดี กอดน้องแน่นเลย (ตอนนั้นน้องผมยังเด็ก) ระหว่างที่พ่อกำลังเช็ครถข้าง

หน้า ผมเหลือบเห็นเป็นเงาคนลางๆ ทำท่าเหมือนส่องๆ อยู่ข้างกระจกฝั่งแม่ ผมรู้ว่าแม่ก็เห็น แต่แม่

ทำสีหน้าแบบ ‘ห้ามทักนะ!’ อะไรประมาณนี้ ไอ้ผมก็ปากไวไปหน่อย ดันพูดว่า ‘แม่ เห็นเงาใครมั้ย

ข้างๆ!’ แม่ผมก็รีบตัดบทตะโกนถามพ่อว่า ‘รถเปนไงมั่ง!?’

พ่อชะโงกหน้าออกมาจากกระโปรงรถบอกยังหาไม่เจอเลย..

สักพักรถมีอาการเขย่าครับ ผมรู้สึกเหมือนมีคนเดินย่ำอยู่บนหลังคา! แม่ก็รู้สึก.. พ่อยังตะโกนมาหา

เราว่า ‘ทำไรกัน! อย่าเล่นกันสิ พ่อจะดูรถ’ คือตอนนั้นเรานั่งกันนิ่งมาก ไม่มีใครกล้าขยับแน่นอน ผม

เห็นสีหน้าแม่ผมไม่ค่อยดี เลยถามไป แม่ผมบอกว่า ‘แม่เห็นมีคนเดินวนรอบรถเราหลายคนแล้ว..’ ผม

เลยมองไปที่กระจกมองหลัง ชัดเลยครับ เห็นเป็นตัวคนมืดๆ 2 3 คนอยู่ด้านหลังรถยืนนิ่งๆ

โอย.. ผมกอดแม่แน่นเลย

ผมกลัวมาก เลยตะโกนเรียกพ่อให้ขึ้นมาบนรถ แต่ไร้เสียงตอบรับจากพ่อครับ เอาล่ะสิทีนี้.. แม่ผม

บอกดูน้องนะ คือน้องนอนหลับอยู่ แม่เปิดประตูจะไปตามพ่อ พอออกไปเท่านั้นแหละ แม่ร้องกรี๊ดลั่น

เลยครับ เรียกผมให้ออกไป ภาพที่เห็นคือ พ่อผมนอนกองอยู่หน้ารถครับ.. ผมกับแม่รีบพยุงพ่อเข้า

มาในรถ แม่ผมรีบโทรหารถฉุกเฉิน หรืออะไรนี่แหละ สมัยนั้นสัญญาณก็ไม่ค่อยมี จำได้เลยโทรศัพท์

Nokia รุ่น 8250 ..เรารอกันอยู่ในรถ โดยที่ตลอดเวลาก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆ คักๆ ปนเสียงร้องไห้

เงาก็ยังเดินไปมา เรียกว่ากลัวจนตายด้านไปแล้ว..

สักพักใหญ่รถอาสาก็มา พาพ่อไปสถานีอนามัยเล็กๆ ใกล้ๆ นั้น เราจอดรถทิ้งกันไว้ตรงนั้นเลย.. จาก

นั้นพวกเราก็เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้พี่ตำรวจฟัง ตำรวจบอกว่า คืนนี้ให้พักที่อนามัยนี่ไปก่อนดีกว่า

พรุ่งนี้ค่อยไปเอารถ.. พ่อผมพื้นขึ้นมา ปลอดภัยแล้วแค่หมดสติ.. พ่อตื่นขึ้นมารีบเล่าอย่างตื่นเต้นว่า

‘ตอนที่ดูรถอยู่ เห็นกลุ่มคนเดินมาข้างๆ ก็ยังงงๆ ว่ามาจากไหนกัน พอพวกเค้าเดินเข้ามาใกล้ๆ ทุกคน

มีแต่เลือดเต็มตัว บางคนก็คอขาดมาเลย แล้วพ่อก็หมดสติไปเลย..’

เราอยู่กันที่สถานีอนามัยกันจนถึงเช้า พี่ตำรวจก็มารับพวกเราไปส่งที่รถ ซึ่งห่างจากอนามัยประมาณ

5 กม. พอมาถึงตรงที่รถพ่อผมจอดเสีย พวกเราก็ขนลุกกันแบบสุดๆ เลยครับ เพราะรอบๆ บริเวณนั้น

มีตุงสีแดงปักอยู่เป็นสิบๆ (ภาคเหนือเวลามีคนตายโหง เค้าจะเอาตุงมาทำพิธีแบบนี้ครับ ไว้เชิญ

วิญญาณ) ทั้งที่เมื่อคืนนี้เราก็ไม่มีใครเห็นกันเลย.. พี่ตำรวจลองไปสตาร์ทรถ

รถก็ติดง่ายๆ ไม่ได้เสียอะไร ทุกคนนี่เงียบกันหมด..

จนสักพักพี่ตำรวจก็เล่าให้ฟังว่า ‘ไม่กี่เดือนนี้ มีรถเค้าจะมาทำบุญ เป็นรถกระบะมีคนนั่งด้านหลังมา

เป็นสิบ พอดีรถแหกโค้งตรงนี้ ตายเกลื่อนเลย.. เจอกันหลายรายแล้วล่ะ บางรายก็ไม่รอด.. เมื่อคืนผม

ก็เห็นพวกเค้าล้อมรถคุณอยู่ เลยมะกล้าพูดอะไร..’ พวกเราฟังยังงั้นก็ พูดไม่ออกกันเลยครับ