คุณเลิฟเล่าว่า.. เมื่อสัก 15 ปีก่อนได้ สมัยที่ผมเรียนจบใหม่ๆ ช่วงรองานก็กลับมาอยู่ที่บ้านที่จังหวัด
นครสวรรค์ครับ ตอนนั้นเพื่อนแถวบ้านก็กลับมารองานเหมือนกัน เป็นเพื่อนผู้หญิง 2 คน ชื่อ หนิง กับ
ใหม่ ทั้งคู่มีแผนจะไปดูดวงกับอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่อยู่ต่างอำเภอไกลออกไปพอสมควร โดยคุณยาย
ของหนิงเป็นคนได้ข้อมูลมา แล้วชวนผมให้เป็นคนขับรถพาไป แลกกับอาหารมื้อใหญ่ ซึ่งผมก็โอเค
ไม่มีปัญหา หลังจากตกลงกันเรียบร้อย วันรุ่งขึ้นก็ออกเดินทางกัน โดยคุณยายของหนิงได้ยืมรถของ
พ่อหนิงมา เป็นรถเก๋งรุ่นเก่าแต่นั่งสบายตามสไตล์รถยุโรป แต่รอสาวๆ แต่งตัวเตรียมพร้อมกัน กว่าจะ
ออกเดินทางได้ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงวัน
พวกเราขับไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนมากนัก ผมคำนวนระยะทางคร่าวๆ น่าจะใช้เวลาไม่มาก แต่ก็มีแวะถาม
ทางตลอดเหมือนกัน เพราะเส้นทางที่จะไปผมไม่เคยชิน จากถนนใหญ่ก็เริ่มเข้าสู่ถนนยางมะตอยใน
เขตอำเภอเล็กๆ แล้วก็เข้าสู่ถนนดินลูกรังในหมู่บ้าน ขับหลงซะเป็นส่วนใหญ่ และรถที่คุณยายหนิง
เอามาก็เริ่มส่อแววไม่ค่อยดี ความร้อนขึ้น ต้องคอยพักรถเป็นระยะๆ ผมบอก 2 สาว หนิง กับใหม่ว่า
‘กลับกันเถอะ รถทำท่าไม่ค่อยดีแล้ว ไว้ค่อยมาใหม่คราวหลัง..’ ใหม่เห็นด้วยกับผม แต่คุณยายหนิง
หัวรั้นบอก ‘ไปเถอะน่า มาตั้งไกลแล้ว รถคันนี้มันก็เป็นยังงี้แหละ ปกติ พ่อหนิงใช้อยู่ประจำ..’ ผมก็หัน
ไปถามใหม่อีกที ใหม่คงเกรงใจหนิง เลยบอกว่า ‘งั้นก็ไปต่อเถอะ..’ ส่วนผมก็ขัดไม่ได้ซะด้วย ไปก็ไป
ครับ.. กว่าจะคลำทางมาถึงหมู่บ้านได้ก็ล่อไปเกือบเย็นแล้ว ทางเข้าหมู่บ้านก็สุดแสนจะกันดาร ต้อง
ผ่านไร่นาของชาวบ้านเข้ามา ถนนก็อย่างกับผิวดวงจันทร์ เล่นเอาผมเหนื่อยกว่าจะถึงบ้านอาจารย์ดูด
วง.. พอถึง ผมก็ให้ 2 สาว และคุณยายเข้าไปดูดวงให้หายอยาก ส่วนผมขออยู่เช็ครถข้างนอก
พอเช็ครถเติมน้ำในหม้อน้ำเรียบร้อย ผมก็ไปเดินเล่นแถวๆ นั้น มองนาฬิกาก็ 5 โมงเย็นแล้ว ผม
สังเกตคนในหมู่บ้านเริ่มปิดประตูหน้าต่างบ้านกันแล้ว แต่ก็ไม่ได้แปลกใจ เพราะช่วงที่ผมไปเป็นช่วง
หน้าหนาว มืดไว ชาวบ้านตามชนบทก็คงจะเข้านอนกันไวเป็นธรรมดา แล้วผมก็ไปเห็นร้านค้าเล็กๆ
ร้านหนึ่งกำลังจะปิดเหมือนกัน ผมเลยเดินเข้าไปขอซื้อบุหรี่ กับน้ำอัดลม ป้าเจ้าของร้านหยิบให้ผม
แล้วถามผมว่า ‘มาจากไหน ทำไมมาเอาช้าป่านนี้?’ ผมก็อธิบายป้าแกไป แล้วถามแกต่อว่า ‘..ทำไม
เหรอครับ ที่ว่ามาช้า?’ ป้าแกบอกว่า ‘วันนี้เป็นคืนวันดับ ชาวบ้านเขาปิดบ้านไว ไม่มีใครไปไหนมาไหน
หรอก..’ แล้วป้าแกยังบอกผมอีกว่า ‘รีบกลับได้แล้วนะ มืดค่ำเอาจะกลับลำบาก..’ ผมเดินออกจากร้าน
ป้าแกมาอย่างงงๆ ไม่เข้าใจที่ป้าแกพูดหรอกครับ วันดับคืออะไร? ก็เดินสูบบุหรี่ ดูดน้ำอัดลมเพลินๆ
พอเดินมาถึงรถ ก็เห็นทุกคนยืนยิ้มรออยู่แล้ว ผมก็เปิดรถเชิญ 2 สาวและคุณยายขึ้นรถทันที
พอขึ้นรถ 2 สาวก็เม้าท์กันเรื่องดูดวงโขมง ผมก็รีบขับรถออกไปให้เร็วที่สุดตามที่ป้าร้านขายของบอก
มองดูนาฬิกาเกือบ 6 โมงแล้ว พระอาทิตย์ตกเร็วกว่าที่คิดไว้ ผมรีบทำเวลาแข่งกับแสงสุดท้ายของ
วัน 2 สาวถามผมว่าจะรีบขับไปไหน? ผมก็ไม่ได้ตอบ ยังคงใช้สมาธิในการขับอย่างเต็มที่.. รถวิ่งผ่าน
ต้นโพธิ์ใหญ่ เลาะไปตามถนนลูกลัง ขนานกับคันนาของชาวบ้าน ในใจผมก็คิดว่า ‘ทำไมตอนเข้ามา
ไม่เห็นต้นโพธิ์หว่า?’ แต่ก็ไม่ได้อะไร รีบขับต่อ.. พระอาทิตย์เริ่มลับเหลี่ยมเขาแล้ว เหลือแต่แสงสี
ส้มๆ ที่ขอบฟ้า ผมเปิดไฟหน้ารถเพื่อขจัดความมืดที่เริ่มเข้าปกคลุม.. ขับไปขับมา ไม่ยักเจอทางออก
หมู่บ้านสักที? ผมเลยบอก 2 สาวให้หยุดเม้าท์กันก่อน ช่วยผมดูทางด้วย 2 สาวก็บอกว่า ถูกแล้ว ผม
ขับมาถูกแล้ว เพราะทางเข้ามามันตรงตลอด ไม่มีแยกซ้าย-ขวาเลย เพราะงั้นทางออกก็ต้องขับตรง
อย่างเดียวสิ เดี๋ยวก็จะขึ้นถนนยางมะตอยได้แล้วล่ะ.. ผมก็จำได้ว่าเป็นแบบนั้น แต่ขับมาตั้งนานแล้ว
น่าจะเจอถนนยางมะตอยสิ ทำไมยังเป็นดินลูกรังอยู่เลย? ผมใช้ความเร็วมากขึ้น เปิดไฟสูงตลอดเพื่อ
ให้เห็นทางชัดๆ จริงอย่างที่ 2 สาวพูด ไม่มีทางแยกอะไรเลย แต่ทำไมขับไม่ถึงถนนสักที.. ผมเริ่มใจ
ไม่ดีแล้ว ทีนี้ทุกคนก็คงเริ่มรู้สึกได้เหมือนกัน เงียบกริบกันทั้งรถ พยายามช่วยกันมองทาง
แต่ก็ไม่เจอจุดสังเกตอะไรเลยนอกจากทุ่งนาโล่งๆ
ความมืดเข้าปกคลุมเต็มที่ มองอะไรไม่ค่อยเห็นเหมือนเดิมแล้ว ได้แต่อาศัยไฟหน้ารถอย่างเดียว ขับ
ต่ออีกสักพัก รถก็ดันเริ่มมีอาการอีกแล้ว ความร้อนขึ้นครับ ผมภาวนาขอให้ออกจากหมู่บ้านได้ก่อน
เถอะ ไม่อยากมาติดอยู่ที่นี่ ..แต่แล้ว สวรรค์ไม่เป็นใจ รถกระตุก 2-3 ทีแล้วดับ.. ทุกคนขวัญเสียกัน
หมด ผมค่อยๆ เลี้ยวรถเข้าข้างทาง แล้วลองสตาร์ทอีกที แต่ไม่เป็นผล เครื่องน๊อคซะแล้ว.. 2 สาวได้
แต่ถามผมว่า ‘รถเป็นอะไรๆ ซ่อมดิๆ’ ผมเลยพูดเสียงดังออกไปว่า ‘บอกแล้วไงว่าอย่ามาๆ รถมันจะ
เสียตั้งแต่แรกแล้ว เสียจริงๆ เลยทีนี้!’ 2 สาวเงียบกริบ ไม่กล้าพูดอะไรอีก ..หลังจากสงบสติได้ ผมก็
ลงจากรถเปิดกระโปรงหน้ารอให้เครื่องเย็นลง เผื่อจะไปกันต่อได้ ในช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่อึดอัด
ที่สุด ใจผมกลัวว่าจะมีโจรมาจี้พวกเรา แถมมากับผู้หญิงด้วย เป็นห่วงเพื่อน ผมเดินไปเปิดกระโปรง
ท้ายรถ หยิบประแจมาถือเตรียมไว้เผื่อเหตุฉุกเฉิน
ผมเห็น 2 สาวหวาดกลัวกันมาก คุณยายหนิงก็เริ่มย้ายไปนั่งข้างหลังรถคู่กับหนิง ทั้งคู่จับมือกันแน่น
เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ผมเลยบอกไปว่า ‘เดี๋ยวรอเครื่องเย็นก็ไปกันต่อได้แล้ว..’ ทุกคนต่างพยัก
หน้าพร้อมกัน ..รอเป็นชั่วโมง เครื่องเริ่มเย็นลง เพราะอากาศหนาวช่วยได้เยอะ ผมลองสตาร์ทเครื่อง
อีกที แต่มันก็ไม่ติด.. พยายามอยู่หลายครั้งก็ไม่เป็นผล ลองขยับขั้วแบต สายหัวเทียน ทำทุกทางที่
พอรู้มาแต่ก็ไร้ผล พวกเราทุกคนติดแหงกเสียแล้ว.. ผมนึกขึ้นมาได้ โทรศัพท์! คุณยายหนิงมี
โทรศัพท์มือถือ ซึ่งในสมัยนั้นมือถือไม่ได้มีกันทุกคนเพราะราคามันแพง จะมีก็ของคุณยายหนิงนี่ล่ะ
ผมบอกให้ลองโทรไป 191 บอกรถเราเสีย หรือไม่ก็โทรหาพ่อหนิงก็ได้ คุณยายหนิงรีบทำตามทันที
แต่ความหวังสุดท้ายก็พังลง บริเวณนั้นมันไกลกันดารเสียจนไม่มีคลื่นให้โทรออกได้เลย.. หมด
หนทางแล้วจริงๆ เป็นอันว่าเราทุกต้องนอนคอยกันอยู่ในรถ ผมปิดไฟทั้งหมดเพื่อประหยัดแบต หวัง
ว่ารออีกสักพักใหญ่ๆ ลองสตาร์ทอีกทีโชคอาจเป็นของเราบ้าง ผมพยายามบอกให้ทุกคนไม่ต้องกลัว
ชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ คุยกันจนไม่มีอะไรจะคุย ด้วยความเหนื่อย เลยพากันหลับไป
ผมรู้สึกตัวอีกที อากาศหนาวมาก ขนลุกไปหมด ผมมองที่ 2 สาวยังคงหลับกันอยู่ ผมลองบิดกุญแจ
สตาร์ทอีกที ..เงียบกริบเหมือนเดิม หมดหวังแล้ว มองนาฬิกาในรถ เป็นเวลาเกือบตี 2 เอาวะ..อีกไม่
กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว ทนๆ หน่อย พยายามข่มตา หลับ แล้วผมก็หลับไปไม่รู้ตัว.. มารู้สึกตัวอีกครั้งเพราะ
2 สาวมาเขย่าตัวผม แล้วบอกว่า ‘เค้าเห็นเงาคนเดินอยู่บนคันนา มากันหลายคนเลย..’ ผมขยี้ตา แล้ว
ค่อยๆ มองผ่านกระจกรถไป ก็เห็นอย่างที่บอกจริงๆ เป็นคนหลายคนเดินเรียงแถวกันมาบนคันนา เดิน
ตรงไปที่ไหนสักแห่ง ในตอนนั้นผมกลัวอย่างเดียวว่าจะเป็นโจรมาจี้ เลยบอก 2 สาวว่า ‘ถ้ามันจะเอา
ไร ก็ให้มันไปนะ อย่าขัดขืน..’ แล้วผมก็คอยสังเกตการณ์ต่อไป ซึ่งดูเหมือนจำนวนคนจะเพิ่มมากขึ้นๆ
เดินมากันไม่ขาดสาย มีชายหญิง บางคนจูงเด็กมาด้วยก็มี ลักษณะเหมือนชาวบ้านทั่วไปนี่ล่ะ พวก
เขาค่อยๆ เดินมาใกล้รถเรามากขึ้น จากคันนาก็เดินลงมายังถนนลูกลัง เดินเข้ามาใกล้รถเรา จนแทบ
จะเบียดเลย 2 สาวกอดกันแน่น ส่วนผมใจเต้นไม่หยุด กลัวก็กลัว แต่แล้วพวกคนที่ว่าก็เดินผ่านรถเรา
ไปเฉยๆ เหมือนกับว่ารถเราไม่มีตัวตน ค่อยๆ เดินหายไปในความมืดข้างหน้า ผมดูแล้วไม่น่าจะต่ำกว่า
20-30 คนได้ ทุกคนในรถนั่งตัวสั่น แล้วเสียงใหม่สวดมนต์ดังขึ้นมาจากข้างหลังเพื่อขับไล่ความกลัว
ผมนั่งสังเกตการณ์ต่อไป แต่ปรากฏว่าสิ่งที่เห็นคือ คนพวกนั้นกลับค่อยๆ เปลี่ยนสภาพเป็นเหมือน
ศพ! บางคนแขนขาขาด หัวขาดก็มี สรุปแล้วนี่ไม่ใช่คน แต่เป็นผีวิญาณเร่ร่อนหรืออะไรก็ไม่ทราบได้
เดาว่าพอสวดมนต์แล้วเราจะเห็นร่างจริงของพวกเขา! ทุกคนกลัวกันมาก นั่งก้มหน้าก้มตาร้องไห้กัน
ส่วนผมก็พยายามมองพวกเขาเดินลับตาหายไปในความมืดสนิท..
พวกเรารอกันจนเช้า ไม่มีใครได้นอนต่อ จนมีชาวบ้านขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมา 2 คน ในมือถืออุปกรณ์
จับปลามากัน เขาแวะมาถามว่ารถเป็นอะไร? ผมเลยบอกรถเสียตั้งแต่เมื่อคืน เขา 2 คนทำสีหน้า
ตกใจ แต่ก็ไม่พูดอะไร และอาสาช่วยไปตามรถลากจากในเมืองมาให้ กว่าจะเอารถออกได้เกือบ
เที่ยง.. หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จ คุณยายหนิงก็โทรให้พ่อหนิงมารับพวกเรา พวกเราโดนด่าเละ
และถูกห้ามไม่ให้ไปไหนไกลๆ กันอีก หลังจากวันนั้นพวกเราทั้งก็เข็ดกันไปตามๆ กันเลยล่ะครับ..
Mono Mobile
แหล่งรวบรวมคอนเทนต์คุณภาพ ทั้งในรูปแบบวิดีโอคลิป สามารถดูได้ทุกที่ ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง รองรับการใช้งานหลากหลายอุปกรณ์
Mono Technology
อาคารจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล ทาวเวอร์ เลขที่ 200 หมู่ 4 ถนนแจ้งวัฒนะ ปากเกร็ด นนทบุรี 11120 เบอร์โทร 021007007
TAGS
บันเทิง, ข่าวสาร, ก็อซซิป, คลิปตลก, คลิปเด็ด, ดูดวง, เพลงฮิต, เกม, ความรัก, กีฬา