พระใหม่กับเปรต

 

คุณ น. เล่าว่า.. สมัยที่ผมบวชพระได้ครึ่งพรรษา พอท่องบทสวดคาถาต่างๆ คล่องแล้ว หลวงตาก็

ชวนไปออกธุดงค์ ผมก็รีบตกลงทันที เพราะอยากไปเห็นอะไรข้างนอกวัดบ้าง อยู่แต่ในวัดเบื่อๆ ที่

ไปธุดงค์กันก็มีหลวงตา พระพี่เลี้ยง 2 รูป และผม พระพี่เลี้ยงก็อายุไล่เลี่ยกับผมนี่ล่ะ แต่ท่านบวชมา

นานกว่าราว 4-5 พรรษาแล้ว อีกรูปบวชตั้งแต่เป็นเณร พวกเรา 4 รูปก็เริ่มเดินธุดงค์กัน เดินจากวัด

ไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมาย แล้วแต่หลวงตาจะพาไป คืนแรกไปจำวัดที่วัดป่าระแวกนั้น หลวงตาค่อยๆ

ให้ปรับตัวไปก่อน พอเริ่มออกจากวัดป่าก็ไม่มีวัดอะไรอีกเลย พวกเราก็เดินธุดงค์กันมาเรื่อยๆ ผ่าน

หมู่บ้านไหนก็จะแวะปักกลดกันใกล้ๆ หมู่บ้านนั้น หลวงตาไม่อยากพาไปที่ที่มันกันดารมากเพราะผม

ก็ยังใหม่ พระอีก 2 รูปก็เคยธุดงค์ไม่กี่ครั้งเอง เราธุดงค์กันมาหลายอาทิตย์ จนหลวงตาคิดว่าควร

กลับได้แล้ว เลยบอกพวกเราว่า ‘ข้างหน้าจะมีวัดป่าอีกแห่ง หลวงตารู้จักเจ้าอาวาส

จะไปเยี่ยมเยียนเสียหน่อยก่อนกลับ..’

 

วัดป่าแห่งนั้นเป็นวัดเล็กๆ โบสถ์ก็สร้างจากไม้ มีพระประธานองค์เล็กๆ แค่องค์เดียวในโบสถ์ เป็นวัด

ที่ห่างไกลความเจริญมากๆ ไม่มีไฟฟ้า มีแต่เครื่องปั่นไฟไว้ใช้ในยามจำเป็น พอทุ่มตรงไฟจะดับ

หมด ต้องจุดเทียนพรรษาให้แสงสว่างเอา ที่วัดมีพระจำพรรษาอยู่ไม่ถึง 10 รูปรวมเจ้าอาวาส อยู่กัน

อย่างสมถะจริงๆ รอบๆ วัดก็มีแต่ป่า แค่เดินเข้าไปกลางวันยังรู้สึกวังเวง เสียงแมลง สัตว์ปีกตัวเล็กๆ

จั๊กจั่นเรไรร้องกันให้ระงมไปหมด หลวงตาพาพวกเราไปกราบนมัสการเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสบอกให้

พวกเราไปนอนที่กุฏิท้ายวัด เป็นกุฏิร้าง ไม่มีใครนอน ส่วนหลวงตาท่านให้จำวัดกับท่านเจ้าอาวาส

เพราะเป็นกุฏิที่ดูดีสุดแล้ว

 

ผมกับหลวงพี่อีก 2 รูปก็เดินมาจนถึงกุฏิท้ายวัด เป็นกุฏิไม้เก่าๆ พื้นปูน หลังไม่ใหญ่มาก อยู่กัน 3 รูป

แบบเบียดๆ พอได้อยู่ สภาพก็ไม่ได้แย่จนเกินไปนัก กวาดๆ ถูๆ หน่อยก็อยู่ได้ หลังจากช่วยกันปัด

กวาดเช็ดถูเรียบร้อย ก็จัดแจงปูเสื่อ เก็บข้าวของใช้ แล้วเดินมาหาหลวงตา ท่านบอกว่าจะอยู่ที่นี่ 2

คืนก็จะกลับแล้ว ท่านกำชับว่า ก่อนนอนให้สวดมนต์แผ่เมตตาทุกคืนด้วย ท่านสั่งแค่นี้ ซึ่งพวกผม

กับพระพี่เลี้ยงก็ทำทุกคืนอยู่แล้ว เลยไม่ได้ติดใจอะไร 

 

คืนแรก ผมนอนไม่ค่อยหลับ อาจเป็นเพราะแปลกที่ รวมทั้งเสียงสัตว์กลางคืน จักจั่น จิ้งหรีด ร้องกัน

ให้ระงม เสียงมันดังมากกว่าที่อื่นเหมือนจงใจจะร้องกันไม่หยุด กวนใจเสียเหลือเกิน กว่าจะหลับได้

ก็นานโข.. ตอนเช้ามา พวกผมก็ไปกราบลาเจ้าอาวาส ขอนอนอีกคืน จะกลับเช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าอาวาส

วัดหันมาถามผม ‘พระใหม่หรือท่าน?’ (ท่านคงเห็นอากัปกริยาของผม เลยพอเดาออกว่าเป็น

พระใหม่) ผมก็ตอบกลับไป ‘ใช่ครับ บวชยังไม่ถึงพรรษา..’ เจ้าอาวาสพยักหน้า แล้วก็บอกว่า ‘พระ

ใหม่รู้ไหม? พระที่บวชใหม่ๆ กุศลจะแรง จะมีพวกเปรต สัมภเวสี มาขอส่วนบุญ เพราะมันได้กลิ่น

พระใหม่ แถวนี้มีเปรตอยู่ตนหนึ่งนะ ถ้าพระใหม่เจอเข้า ก็แผ่เมตตาให้เขาไป เขาไม่ทำอันตราย

อะไรหรอก..’ หลังจากเจ้าอาวาสพูดจบ ท่านก็ขอตัวเดินเข้าห้องไป.. พระหลวงพี่ก็แหย่ๆ ผม

หาเรื่องผีสางมาเล่าสร้างบรรยากาศเข้าไปอีก จนหลวงตาต้องดุ บอกว่าอย่าพูดเรื่องผีสางในที่ที่

ไม่รู้จัก แล้วกำชับเหมือนเดิม ให้สวดมนต์แผ่เมตตาก่อนนอน 

 

ในคืนสุดท้ายนั้น ผมก็นอนไม่หลับอีกแล้ว รู้สึกว่าทำไมวันนี้มันร้อนจัง ร้อนกว่าเมื่อคืนอีก ทั้งๆ ที่ก็

ไม่ใช่หน้าร้อน ผมมองไปที่พระพี่เลี้ยงทั้งสอง เห็นนอนหลับกรนกันไปนานแล้ว ทนไม่ไหว เลยต้อง

ลุกไปที่หน้าต่าง เอามือผลักให้บานหน้าต่างเปิดอ้าจุนสุด ลมจากป่าหลังกุฏิโชยเข้ามาปะทะใบหน้า

ค่อยทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อย ผมเลยยืนตากลมอีกนิดให้เย็นๆ รอง่วงเต็มที่ค่อยกลับไปนอนจะ

ได้หลับเลย.. ในขณะนั้น สายลมก็พัดเอื่อยมาเรื่อยๆ เรียกความเย็นสบายมากขึ้น ในใจก็คิดอะไรไป

เรื่อยเปื่อย ยังไม่ทันอึดใจ ที่ป่าไผ่หลังกุฏิมันเหมือนมีอะไรขยับๆ ตัวอยู่ที่ต้นไผ่ มีเสียงเหยียบใบไผ่

แห้งๆ ที่หล่นลงพื้นดัง ‘กรอบ..แกรบ..’ เสียงลำต้นไผ่เบียดกันดัง ‘เอี๊ยดอ๊าดดด’ เหมือนมีอะไรกำลัง

แทรกตัวมาจากต้นไผ่ ในใจตอนนั้นไม่กลัว เพราะมันยังอยู่ไกล คิดว่าอาจจะเป็นหมา หรือหมูป่า

หรือสัตว์ป่าอะไรสักอย่างนี่ล่ะ กำลังเดินแหวกดงไผ่ออกมา ก็เลยรอดูให้เห็นเต็มตา ลมที่เคยพัด

เอื่อยๆ กลับเริ่มแรงขึ้น พัดจนอังสะที่สวมอยู่ตีขึ้นมาปิดหน้าปิดตาผม เจ้าสิ่งนั้นมันคืออะไรไม่รู้? แต่

มันเริ่มคลานออกมาจากดงไผ่แล้ว พร้อมกับส่งเสียง ‘อี๊ดดดๆๆ จี๊ดดๆๆ   อี๊ดดดๆๆ จี๊ดดๆๆ’ เสียงมัน

คล้ายหมูที่จะโดนเชือด ผสมกับเสียงจิ้งหรีด แต่มันแปลกๆ เสียงมันแหลมทะลุเข้าไปในโสต

ประสาทผม ใจผมเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ยืนตัวแข็ง ขยับตัวไม่ได้ ตาเบิกโพลงเหมือนต้องมนต์ยังไงยังงั้น!

เจ้าสิ่งนั้นคลานออกมาพ้นกอไผ่แล้ว และมันกำลังคลานตรงมาที่กุฏิ!!

 

พอคลานมาได้สักพัก มันเริ่มหยุด และลุกขึ้นยืนเหมือนคน แต่ยังส่งเสียง ‘อี๊ดดดๆๆ จี๊ดดๆๆ’ ไม่เลิก

ตาผมเบิกโพลง ใจเต้นรัว มันคืออะไรกันแน่? เจ้าสิ่งนั้นเดินมาจนใกล้จะถึงกุฏิแล้ว แสงจากเทียน

พรรษาที่จุดไว้ 3-4 เล่มที่หลังกุฏิ ตรงทางที่จะเดินไปห้องน้ำ ได้ส่องให้เห็นเจ้าสิ่งนั้น.. มันคือคน

ความสูงน่าจะราวๆ คนตัวสูงๆ ร่างกายผอม แขนขามีแต่หนังหุ้มกระดูก แต่ท้องพองโตเหมือน

ลูกโป่ง ดูแล้วคล้ายคนขาดสารอาหาร มันไม่ใส่เสื้อผ้า เดินเปลือยเปล่า ผิวมันเหี่ยวเหมือนคนแก่

ผมมองพิจารณาไปทีละส่วน มันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรนี่หว่า หรืออาจจะเป็นชาวบ้านเสียสติแถวนั้น

ไม่ก็คนเร่ร่อนที่ป่วยไม่ได้กินข้าวปลา อาจเดินโซซัดโซเซเข้ามาขอข้าวกิน เจ้าสิ่งนั้นเดินเข้ามาใกล้

 

เรื่อยๆ จนห่างจากกุฏิไม่เกิน 2 เมตรเท่านั้น เอาละสิครับ ผมเห็นใบหน้ามันได้จะๆ คือมันไม่ใช่แล้ว

มันไม่ใช่คน!!! ที่ใบหน้ามันไม่มีดวงตา มีแค่หนังย่นๆ ที่หน้าผากห้อยลงมาปิดไว้ จมูกมันก็ไม่มี และ

ที่ปากมันเล็กมาก เล็กประมาณเหรียญบาท เห็นเป็นแค่รูดำๆ หัวโล้น ไม่มีใบหู มีแต่หนังหัวย่นๆ

ยานลงมาปิดไว้ มันยังส่งเสียง ‘อี๊ดดดๆๆ จี๊ดดๆๆ’ ตลอด ยิ่งเข้ามาใกล้ยิ่งส่งเสียงดังขึ้นๆ จนผมปวด

หูไปหมด มันมาหยุดที่หลังกุฏิ ไม่เดินต่อมา ส่งเสียงไม่หยุด ยาวนาน แหลมสูง มันร้องอยู่อย่างนั้น

แขนมันเริ่มกวัดแกว่งไปมาเหมือนคนควบคุมอวัยวะไม่ได้ บางทีแขนมันก็เหวี่ยงไปฟาดหน้ามัน

ฟาดตัวมัน เป็นที่น่าอนาถ คิดในใจมันคือตัวอะไรวะนั่น? ช่างน่าเกลียดน่ากลัวซะเหลือเกิน!

 

ผมจ้องดูมันต่อ ในใจก็กลัว แต่ขามันก้าวไม่ออก คงเกิดอาการช็อค ตาผมก็หลับไม่ได้ เหมือนเจ้า

สิ่งนั้นมันอยากให้ผมจ้องดูมันตลอด หลังจากนั้น เจ้าสิ่งนั้นมันเริ่มทำอะไรบางอย่าง มันยกมือของ

ตัวเองขึ้น เอานิ้วเข้าปากแล้วกัด กัดจนนิ้วขาด!! แล้วมันก็เอานิ้วที่ขาดปามาที่กุฏิ เสียงนิ้วกระทบกับ

ฝากุฏิไม้ดัง ‘ปุๆๆ’ มันกัดๆๆ แล้วปามาที่กุฏิจนครบ 10 นิ้ว มันยังแหกปากร้องไม่หยุด แต่มันไม่

สามารถเดินเข้ามาใกล้ได้มากกว่านั้น ไม่รู้เพราะอะไร? แค่นั้นยังไม่พอ คราวนี้มันเริ่มใช้ปากกัด

เนื้อที่แขนมัน แล้วกลืนลงคอไปทีละชิ้นๆ คราวนี้ล่ะ ผมอยู่ไม่ได้แล้ว มันสยดสยองเกินไปแล้ว ผม

รวบรวมพลังทั้งหมดแหกปากตะโกน ‘ช่วยด้วย!!!!!!’ แต่เหมือนไม่มีใครได้ยินผมเลย ผมตะโกนซ้ำๆ

อยู่นาน ‘ช่วยด้วยๆๆๆ’ เหงื่อแตกเต็มหลัง พระพี่เลี้ยงที่นอนอยู่ก็ไม่เห็นจะลุกมาช่วยอะไร เจ้าสิ่งนั้น

มันก็แทะแขนต่อไปจนเห็นกระดูกขาวโพลน ผมจะช็อคตายอยู่แล้ว ท้องไส้ปั่นป่วน อวกพุ่งออกมา

แบบไม่รู้ตัว ทั้งภาพที่เห็น ทั้งกลิ่นคาวเลือด ทั้งเสียงนรก ‘อี๊ดดดๆๆ จี๊ดดๆๆ’ มันจะทำให้ผมบ้าตาย

แน่ๆ ผมขยับไม่ได้ ก้าวไม่ออก หลับตาก็ไม่ได้ ผมตายแน่ๆ ผมคิดในใจ.. คงหัวใจวายในไม่ช้านี้

ภาพตรงหน้ามันสยองเกินรับไหวแล้ว

 

เจ้าสิ่งนั้นยังไม่หยุด มันใช้มือที่เหลือแต่กระดูกขาวๆ ชกๆ ไปที่ท้องที่บวมเหมือนลูกโป่งของมัน ชก

แล้วชกอีกจนพุงมันแตก! ไส้ทะลักออกมาเป็นยวง กลิ่นขี้ กลิ่นคาวเลือดเน่าๆ เหม็นตลบไปหมด จน

ผมอวกออกมาอีกครั้ง แล้วก็ฉี่แตกเลย ด้วยความกลัวจัด ตาผมลาย หูมีเสียงวิ้งๆๆ เหมือนจะเป็นลม

แล้ว ผมคงใกล้ช็อคตายแล้ว นึกในใจ มันคงเป็นพาดหัวข่าวที่ทุเรศน่าดู ‘พระใหม่ช็อค ขี้เยี่ยวแตก

ตายคากุฏิ’ ก่อนสติจะออกจากร่าง ผมนึกได้อย่างเดียว สวดมนต์สิ คนใกล้ตายต้องสวดมนต์ เริ่ม

ตั้งใจสวดเท่าที่สวดได้ คิดบทอะไรได้ก็สวดไปหมด รวมถึงแผ่เมตตาด้วย ..ดูเหมือนเจ้าสิ่งนั้นจะ

หยุดทำอะไรอุบาทว์ๆ ลงหลังจากที่ผมสวดมนต์แผ่เมตตา มันค่อยๆ ทรุดตัวลง แขนขาผิวหนัง ท้อง

ที่แตกของมัน เหมือนจะค่อยๆ มีเนื้อมีหนังพอกพูนขึ้นมาเหมือนเดิม แล้วมันก็ค่อยๆ หันหลังแล้ว

คลานกลับไปที่ป่าไผ่เหมือนตอนที่มันออกมา ผมท่องบทสวดมนต์จนเห็นมันลับหายไปในกอไผ่

ร่างกายผมเริ่มกลับมาควบคุมได้ ตาเริ่มหลับได้ ขาเริ่มก้าวแบบสั้นๆ ออกมาจากหน้าต่างได้ ผม

ค่อยๆ ทรุดลงกับพื้น คลานมาที่เสื่อแล้วสติผมก็ดับวูบไปเลย..

 

จนเช้า พระพี่เลี้ยงมาปลุก ผมจับไข้ หนาวสั่นไปหมด ลุกจากที่นอนไม่ขึ้น จนหลวงตาต้องมาตาม

ว่าจะเดินทางกลับแล้ว แต่เห็นสภาพผมแล้วก็ต้องอยู่ต่ออีกคืนเพื่อพักฟื้น หลังจากคืนนั้น ผมก็ไม่

ได้ยินหรือเห็นอะไรอีก นอนตั้งแต่ค่ำจนเช้าอีกวัน อาการไข้เริ่มดีขึ้น จนเกือบหายดี สามารถเดิน

ทางได้แล้ว ก็ไปร่ำลาเจ้าอาวาสวัดป่า แล้วเหมือนท่านจะรู้ แกล้งแซวผม ‘ถึงกับจับไข้เลยหรือพระ

ใหม่..’ ผมก็ยิ้มๆ แล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่า นานมาแล้วสมัยท่านยังหนุ่ม มาบุกเบิกที่วัดใหม่ๆ ตอนนั้น

ข้างๆ วัดมีบ้านโยมคนหนึ่ง แกชอบเอาเปรียบ ชอบโกงที่วัด เวลาปลูกอะไร หรือทำสวน ชอบล้ำที่

วัดเข้ามา จะเอาที่วัดให้ได้ เคยทะเลาะกับเจ้าอาวาสอยู่หลายครั้ง จนมีครั้งหนึ่ง โยมคนนั้นแอบเอา

ปืนมายิงเจ้าอาวาส แต่พลาด ปืนแก๊ปที่แกประดิษฐ์เองเกิดระเบิด ทำเอานิ้วมือแกขาดไปหลายนิ้ว

แทนที่จะเข็ดหลาบ แกยังจองเวรเจ้าอาวาส อย่างพอที่วัดเลี้ยงไก่เพื่อจะเอาไข่มาฉัน โยมคนนั้นก็

แกล้งปล่อยหมาให้มาฉีกกินไก่ที่วัดจนตายเรียบทุกทีไป สุดท้ายเวรกรรมคงตามทัน แกตัดต้นไผ่

หลังวัดไปขาย บรรทุกใส่รถอีแต๋นไป ทำอีท่าไหนไม่รู้ จะกลับรถ โดนรถบรรทุกชนแล้วทับช่วงตัว

แกจนท้องแตก ไส้พุงทะลักเต็มถนน ด้วยผลกรรมที่แกทำหนักหนานัก แกจึงต้องมารับกรรมเป็น

เปรตอยู่หลังวัดนี่ล่ะ วันดีคืนดีก็จะได้ยินเสียงแกร้องขอส่วนบุญ ยิ่งมีพระใหม่ๆ มาจำวัด เปรตโยม

คนนั้นก็จะมาขอส่วนบุญทุกราย.. เล่าจบ ท่านเจ้าอาวาสก็ให้ศีลให้พรพวกเรา เราก็ลาท่านกลับใน

วันนั้นเอง ..เรื่องที่ผมเจอ ผมก็กลับมาเล่าที่วัดให้เณร ให้พระรุ่นน้องฟัง ทำเอาขนลุกไปตามๆ กัน

บาปบุญมีจริง เวรกรรม เปรต อสุรกายก็มีจริงเช่นกัน ผมเชื่อเพราะได้เห็นได้สัมผัสมากับตัว จงทำ

แต่ความดีไว้เถิด ตายไปจะได้ไม่ต้องไปเป็นเปรต อสุรกาย หรือสัตว์นรก




SOCIAL NETWORK

Mono Mobile

แหล่งรวบรวมคอนเทนต์คุณภาพ ทั้งในรูปแบบวิดีโอคลิป สามารถดูได้ทุกที่ ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง รองรับการใช้งานหลากหลายอุปกรณ์

Mono Technology

อาคารจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล ทาวเวอร์ เลขที่ 200 หมู่ 4 ถนนแจ้งวัฒนะ ปากเกร็ด นนทบุรี 11120 เบอร์โทร 021007007

TAGS

บันเทิง, ข่าวสาร, ก็อซซิป, คลิปตลก, คลิปเด็ด, ดูดวง, เพลงฮิต, เกม, ความรัก, กีฬา