เมื่อเข้าเป็นผู้ค้ำประกันหนี้แล้วก็มีความผูกพันตามกฎหมายที่ต้องชำระหนี้ ในเมื่อผู้กู้ไม่ชำระ  แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าผู้กู้ไม่ชำระหนี้ต้องทำอย่างไร  เมื่อผู้กู้ไม่ชำระหนี้เจ้าหนี้จะเรียกให้ทั้งผู้กู้และผู้ค้ำประกันคนใดคน หนึ่งหรือทั้งสองคนร่วมกันชำระหนี้ในยอดหนี้เต็มจำนวนพร้อมด้วยดอกเบี้ยได้  หากผู้ค้ำประกันไม่อยากต้องชำระหนี้หรือเกรงว่าจะถูกฟ้องคดีหรือเกรงว่าจะ ถูกบังคับคดียึดทรัพย์ออกขายทอดตลาดชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันต้องหาหนทางให้หนี้เงินกู้ระงับลง  ซึ่งในทางปฏิบัติผู้ค้ำประกันจะเร่งรัดไปยังผู้กู้ให้เร่งชำระหนี้ จนเสร็จสิ้นหรือควรเร่งรัดผู้กู้ให้หาคนค้ำประกันคนใหม่โดยให้ผู้ค้ำประกัน คนใหม่เข้าทำสัญญาสี่ฝ่ายระหว่างผู้ให้กู้ ผู้กู้ ผู้ค้ำประกันเดิม และผู้ค้ำประกันรายใหม่ด้วยเพื่อให้สัญญาค้ำประกันเดิมหมดสิ้นไป หรือให้ผู้กู้หาหลักประกันมาให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้จนเป็นที่พอใจและถอนการค้ำ ประกันเดิมเสีย ในระหว่างการเจรจาหนี้ต่างๆ ผู้ค้ำประกันควรต้องคอยสืบหาทรัพย์สินของผู้กู้ไว้ด้วยว่ามีอะไรบ้าง เป็นทรัพย์สินของใครอย่างไร และหากมีเอกสารราชการก็ควรไปคัดถ่ายเอกสารเก็บรวบรวมไว้เพื่อประโยชน์ในการ บังคับคดีกรณีที่ผู้ค้ำประกันฟ้องไล่เบี้ยเงินที่ผู้ค้ำประกันได้ชำระแทนไป หรือฟ้องข้อหาโกงเจ้าหนี้กรณีผู้กู้โอนทรัพย์สินหนีเพื่อไม่ให้ถูกบังคับ คดี  มิเช่นนั้นผู้ค้ำประกันอาจไม่ได้รับเงินที่ชำระไปแล้วคืนเลยก็ได้  ส่วนในเนื้อหาของคดีกรณีผู้ให้กู้ฟ้องต้องในทนายความตรวจสอบว่าหนี้เงินกู้ มีความสมบูรณ์มากน้อยเพียงไร เช่น ส่งมอบเงินกู้ไม่ครบถ้วน ดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะ คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย ไม่ได้กู้ยืมเงิน เป็นต้น หากไม่ทำการตรวจสอบหรือต่อสู้คดีจะทำให้ศาลไม่ทราบข้อเท็จจริงและพิพากษาให้ ท่านชำระหนี้เต็มจำนวน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.siaminterlegal.com