ปกปิดความจริงต่อคู่สมรส

week2 content2

คุณเคยโกหกใครไหมครับ ? ถ้าโกหกเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจและไม่ทำให้ใครเดือดร้อนจากคำโกหกของคุณ ประเภทที่เรียกว่า “โกหกสีขาว” เช่นผมโกหกภรรยาว่าเสื้อตัวที่เธอสวมใส่สวยมาก (ทั้ง ๆ ที่สวยแค่พอใช้) ก็คงไม่มีปัญหาอะไร หรือการโกหกกันเล่น ๆ ในวัน “April fool day” ตามเทศกาลของชาวยุโรป ในทุกวันที่ 1 เม.ย. ก็เป็นธรรมเนียมแค่หลอกกันเล่น ๆ ในวันนี้เท่านั้นนะจ๊ะ จึงไม่มีใครถือสาหาความใครในบ้านในเมืองเขา แต่ถ้าคนบางคนในประเทศไทยแลนด์แดนสยามของเรา ใช้วิธีการโกหก ปกปิดความจริง และฉ้อฉลเพื่อจะให้คู่รักยอมแต่งงานหรือหมั้น และแล้วความจริงก็ปรากฏหลังจากงานแต่งงานหรืองานหมั้นได้ผ่านไปแล้ว ถึงข้าวสารจะกลายเป็นข้าวสุขแล้วก็ตาม แต่กฎหมายไทยจัดการได้นะครับ...
ปกปิดความจริง ต่อคู่สมรส

 

คุณเคยโกหกใครไหมครับ ? ถ้าโกหกเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจและไม่ทำให้ใครเดือดร้อนจากคำโกหกของคุณ ประเภทที่เรียกว่า “โกหกสีขาว” เช่นผมโกหกภรรยาว่าเสื้อตัวที่เธอสวมใส่สวยมาก (ทั้ง ๆ ที่สวยแค่พอใช้) ก็คงไม่มีปัญหาอะไร หรือการโกหกกันเล่น ๆ ในวัน “April fool day” ตามเทศกาลของชาวยุโรป ในทุกวันที่ 1 เม.ย. ก็เป็นธรรมเนียมแค่หลอกกันเล่น ๆ ในวันนี้เท่านั้นนะจ๊ะ จึงไม่มีใครถือสาหาความใครในบ้านในเมืองเขา แต่ถ้าคนบางคนในประเทศไทยแลนด์แดนสยามของเรา ใช้วิธีการโกหก ปกปิดความจริง และฉ้อฉลเพื่อจะให้คู่รักยอมแต่งงานหรือหมั้น และแล้วความจริงก็ปรากฏหลังจากงานแต่งงานหรืองานหมั้นได้ผ่านไปแล้ว ถึงข้าวสารจะกลายเป็นข้าวสุขแล้วก็ตาม แต่กฎหมายไทยจัดการได้นะครับ

รู้ความจริง หลังจากสมรส
ไม่ว่าเธอหรือเขาที่รู้ความจริงว่าถูกโกหกหลอกลวง ย่อมต้องเสียอกเสียใจจนต้องร้องออกมาว่า “ทำไมถึงทำกับฉันได้ ?” “ทำไมเธอไม่พูดความจริงกับฉัน ?” โถคุณผู้อ่านครับถ้าเขาหรือเธอพูดความจริงว่า “เธอจ๊ะฉันเป็นโรคร้ายแรง เธอจ๊ะฉันสูญเสียอวัยวะเพื่อการสืบลูกสืบหลาน เธอจ๊ะฉันมีหนี้มีสินล้นพ้นตัวจากการพนัน เธอจ๊ะฉันประพฤติเสื่อมเสียอย่างร้ายแรงทั้งปล้น ฆ่าและข่มขืน” แบบนี้คุณยังจะยอมแต่งงานกับเขาอีกไหมครับ ?
แต่เอาเถอะครับถึงขั้นแต่งงานแต่งการกันแล้ว มาดูสิครับว่าสิ่งที่เขาโกหก ปกปิดความจริงกับคุณนั้นจะใช้เป็นเหตุขอเพิกถอนการสมรสตามกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์มาตรา 1505 ได้ไหม ? โดยกฎหมายข้อนี้ ระบุว่า "การสมรสที่ได้กระทำไปโดยคู่สมรสฝ่ายหนึ่งสำคัญผิดตัวคู่สมรส" ประเภทที่ว่าปลอมตัวเป็นเศรษฐี หรือเป็นราชวงศ์เพื่อให้คู่รักเข้าใจผิด หรือเกิดแรงจูงใจในการแต่งงานว่าจะอยู่สุขสบาย หรือมีคนนับหน้าถือตาแน่นอนถ้าแต่งงานไปแล้ว แต่คุณผู้อ่านครับการโกหกแบบนี้แหละครับจะทำให้การสมรสนั้นเป็นโมฆียะ ซึ่งสามารถขอเพิกถอนการสมรสได้ภายหลังแต่งงานไปแล้วไม่เกิน 90 วันครับ…ลุยเลยครับ

ใช้เลห์กลฉ้อฉล จนยอมแต่งงาน

กฎหมายไทยนั้นพยายามปกป้องสถาบันครอบครัว ไม่ให้คู่สามีภรรยาหย่าขาดจากกันแบบง่าย ๆ ด้วยการอ้างข้อฉ้อฉลแบบที่ไม่มีน้ำหนัก หรืออ้างตามอารมณ์เพื่อทำลายการสมรส เช่นอ้างว่าถูกหลอกเรื่องนิสัยใจคอ ฐานะการเงิน ตำแหน่งในที่ทำงาน จำนวนญาติพี่น้อง ฐานะทางการเงินของพ่อแม่คู่สมรส (อ้างการตัดสินตามคำพิพากษาฎีกาที่ 2154 /2530) ซึ่งการอ้างแบบนี้ไม่สามารถใช้ฟ้องเพิกถอนการสมรสได้นะครับ
เล่ห์กลฉ้อฉลที่สามารถนำมาอ้างเพื่อขอเพิกถอนการสมรสนั้นในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1506 บอกไว้ว่าเล่ห์กลนั้นต้องถึงขนาด ซึ่งหากไม่มีการฉ้อฉลนั้น ๆ จะไม่ก่อให้เกิดการแต่งงานครับ เช่นการหลอกลวง ปกปิดเรื่องศาสนาว่าตนนับถือศาสนาอิสลาม เพื่อให้ได้แต่งงานกับคนอิสลาม หรือการปกปิดเรื่องสุขภาพที่ส่งผลต่อการสืบพันธ์ซึ่งเป็นสาระสำคัญของการ แต่งงาน เช่น เป็นหมัน ไม่สามารถมีลูกได้ หรือการอ้างชื่อสกุลบุคคลอื่นที่เสียชีวิตแล้วเป็นชื่อสกุลของตน เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ศาลเห็นว่าเป็นเหตุฉ้อฉลจนถึงขนาดครับ โดยศาลจะใช้วิจารณญาณในด้านเพศ อายุ ฐานะ สุขภาพกายใจของฝ่ายที่ถูกฉ้อฉล ตลอดจนพฤติการณ์อื่นๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อตัดสินว่าเป็นเหตุฉ้อฉลจนถึงขนาดหรือไม่ครับ โดยคุณสามีหรือภรรยาผู้โชคร้ายสามารถใช้สิทธิขอเพิกถอนการสมรสเพราะถูกฉ้อฉล ได้ภายใน 90 วัน นับจากวันที่ความจริงปรากฏ หรือจากวันที่คุณควรจะได้รู้ถึงเลห์กลฉ้อฉลนั้น ๆ แต่เส้นตายก็คือภายใน 1 ปีหลังสมรสเท่านั้นนะครับ…เกินจากนี้ หมดสิทธิครับ

ปกปิดการเป็นเกย์ ไม่ใช่ใช้เล่ห์กลฉ้อฉล
ในบางกรณีศาลก็เคยตัดสินว่าไม่ใช่เหตุแห่งการฟ้องเพิกถอนการสมรส เช่น การปกปิดว่าตนเองเป็นเกย์ (หรือตุ๊ด เสือไบ ทอม ดี้ก็ตาม) หรือปกปิดว่าตนเป็นหญิงหรือชายขายบริการ หรือปกปิดว่าตนอยู่ระหว่างหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เหล่านี้ศาลเห็นว่าเป็นเรื่องที่เจ้าตัวไม่มีหน้าที่ต้องแจ้งให้อีกฝ่าย หนึ่งทราบ กลับเป็นหน้าที่ของฝ่ายที่ไม่ทราบข้อมูลต้องสืบเสาะเอาเอง (อ้างการตัดสินตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1131/2532) …อึ้งไหมครับ ? แต่กฎหมายไทยมีทางออกให้ดังนี้ครับ
หากในช่วงเวลาหลังจากสมรสแล้ว เขายังคงทำตัวเป็นเพศที่สาม ยังคงเดินสายขายบริการ หรือยังกระทำผิดกฎหมายเป็นอาจิณ แถมเหตุเหล่านั้นเป็นเหตุแห่งการฟ้องหย่าตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516 เช่น เป็นโรคติดต่อร้ายแรง มีสภาพแห่งกายที่ไม่อาจร่วมประเวณีได้ หรือสามีหรือภรรยาประพฤติชั่วจนเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความอับ อายอย่างร้ายแรง ได้รับความดูถูกเกลียดชัง ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควรเมื่อนำเอาสภาพฐานะ และความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยามาคำนึงประกอบ ฯลฯ เป็นเช่นนี้แล้วคู่สามีหรือภรรยาสามารถนำไปเป็นเหตุฟ้องหย่าได้เลยครับ

ปกปิดการสมรสซ้อน

เรื่องไหน ๆ ก็คงไม่เจ็บกระดองใจ และปวดร้าวอย่างสุดซึ้งเท่ากับการที่เรารู้ภายหลังว่า สามี หรือภรรยาของเราปันใจ แถมเขายังปกปิดความจริงว่าเขาทั้งสองรักกัน ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันฉันท์สามีภรรยามาก่อน และปัจจุบันยังไม่หย่าขาดจากกันเลย…คุณผู้อ่านครับ ถ้าหากว่าผู้หญิงหรือผู้ชายยอดดวงใจของคุณเขาใช้กลเม็ดเด็ดพราย จนเครือข่ายเชื่อมโยงข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย ไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่า เขาหรือเธอได้จดทะเบียนสมรสกับบุคคลอื่นก่อนหน้าคุณแล้วฉะนี้ กฎหมาย ให้สิทธิคุณฟ้องร้องผู้ปกปิดความจริงอันแสนโหดร้ายตามกฎหมายอาญามาตรา 137 โทษฐานแจ้งความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย โดยมีโทษจำคุก 6 เดือน หรือปรับ 1,000.-บาท หรือทั้งจำทั้งปรับครับ…คนแบบนี้ต้องจัดการเสียให้เข็ดครับ

ปกปิดหนี้สิน ก่อนและระหว่างสมรส
หลายคนอาจจะคิดว่าการแต่งงานและจดทะเบียนสมรสระหว่าง สามี-ภรรยา นั่นหมายความว่า “เธอกับฉันต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขเป็นหนึ่งเดียวกัน เธอมีหนี้ฉันก็ต้องมีหนี้…ฉันเป็นหนี้เธอก็ต้องร่วมรับผิดชอบ” ไม่ใช่เลยครับ เพราะการเป็นหนี้เป็นสินของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก่อนหรือ ระหว่างสมรสนั้นนะครับ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1488 กำหนดให้ชำระหนี้นั้นด้วยสินส่วนตัวของฝ่ายนั้นก่อน แต่เมื่อไม่พอจึงให้ชำระด้วยสินสมรสที่เป็นส่วนของฝ่ายนั้นเท่า นั้นครับ ดังนั้นหากคุณผู้อ่านที่แต่งงานไปแล้วเกิดตกอกตกใจเมื่อมาพบว่า สามีภรรยาของตนพกหนี้มาด้วย แถมยังปกปิดไม่ยอมบอกความจริงอีก…ไม่ต้องกลุ้มใจครับ กรรมใดใครก่อ ผลกรรมนั้นเขาก็ต้องรับครับ
นอกจากนั้นการแอบไปมีหนี้สินหรือทำนิติกรรมใดๆ ที่เกี่ยวกับสินสมรส ที่สามีและภรรยาต้องจัดการ ร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอมจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เช่น ให้กู้ยืมเงิน ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี หรือนำทรัพย์สินไปเป็นหลักประกันต่อศาล ฯลฯ ซึ่งบังเอิญคุณโชคร้ายมีสามีหรือภรรยาแบบเผด็จการ โดยเขาหรือเธอไม่ได้บอกอะไรคุณเลยว่าได้เอาสินสมรสไปทำอะไร คุณไม่ทราบ ไม่รู้เห็น และไม่มีการลงนามยินยอมจากคุณเลย ท้ายที่สุดแล้วกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1480 ก็จะช่วยให้คุณสามารถฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ แต่คุณต้องฟ้องเพิกถอนภายใน 1 ปีหลังจากทราบความจริง หรือภายใน 10 ปีหลังจากการทำนิติกรรมนั้นนะครับ เว้นเสียแต่ว่าคุณกลับไปให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว เช่นแสดงเจตจำนงรับสภาพหนี้ หรือในขณะทำนิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน เช่นบุคคลภายนอกรับจำนองที่ดินซึ่งเป็นสินสมรส แต่เขาเชื่อโดยสนิทใจว่าเป็นสินส่วนตัว จึงยอมมอบเงินตามมูลค่าการจำนองที่ดินผืนนั้นให้แก่สามีหรือภรรยาตัวดีของ คุณไป โดยที่คุณไม่ทราบ แบบนี้ก็ไม่สามารถฟ้องเพิกถอนนิติกรรมได้นะครับ

แอบเป็นหนี้เพื่อเธอและลูก
ตามหลักการกฎหมายซึ่งจะดูที่เจตนาเป็นสำคัญ ยังสามารถนำมาใช้ได้กับเรื่องการก่อหนี้เพื่อครอบครัวนะครับ เพราะกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1490 ระบุไว้ว่าหากสามีหรือภรรยาของคุณปกปิดการมีหนี้สินโดยที่เขาต้องการนำเงิน ดังกล่าวมาจัดหาสิ่งที่จำเป็นสำหรับครอบครัว การรักษาพยาบาล การศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ หรือหนี้สินจากการงานหรือการทำธุรกิจระหว่างสามี - ภรรยา เช่น สามีไปกู้เงินเพื่อนำเงินมาซื้อตึกแถวที่สามีภรรยานำมาเปิดบริการขายอาหาร แต่ทำไปทำมากิจการซบเซาหนี้สินก็พอกพูน หนี้สินเพื่อครอบครัวหรือหนี้จากการงานร่วมกันเช่นนี้ต้องถือว่าสามีและภรรยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันแบบ “มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน” นั่นแหละครับ

รู้ความจริง…หลังจากหมั้น
สำหรับคู่รักที่ยังเป็นเพียงคู่หมั้นแต่กลับปกปิดความจริง บางอย่างเอาไว้ แต่ความลับไม่มีในโลก วันหนึ่งระหว่างที่ยังเป็นคู่หมั้นกันนั้นความจริงก็ปรากฏ…เป็นเช่นนี้คุณมี สิทธิบอกเลิกสัญญาการหมั้น โดยกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1442 , 1443 กำหนดไว้ว่าหากหญิงเป็นฝ่ายผิด ให้หญิงคืนของหมั้น แต่ถ้าชายเป็นฝ่ายผิด หญิงไม่ต้องคืนของหมั้นครับ โดยสิ่งที่ปกปิดเอาไว้จนเป็นเหตุให้บอกเลิกสัญญาหมั้นได้แก่ หญิงหรือชายเป็นโรคเรื้อน เป็นวัณโรคเรื้อรัง เป็นโรคเอดส์ หรือเกิดอุบัติเหตุจนเสียอวัยวะสืบพันธ์ หรือหญิงถูกชายอื่นร่วมประเวณีในระหว่างที่เป็นคู่หมั้น หรือชายไปร่วมประเวณีกับหญิงอื่นจนตั้งครรภ์ เหตุแบบนี้แหละครับ ที่คุณมีสิทธิบอกเลิกสัญญาการหมั้นนั้นได้
ไม่ว่าความจริงจะเจ็บปวดรวดร้าวแค่ไหนก็ตาม แต่การยอมรับความจริงย่อมดีกว่าการหลอกตนเองหรือหลอกผู้อื่นเป็นไหนๆ ครับ เพราะเราย่อมรู้ดีกว่าผู้อื่นว่าเราโกหก ปกปิด หลอกลวงหรือไม่ ดังนั้น ยอมรับความจริงก่อนที่ความจริงมันจะฟ้องออกมาในภายหลังให้อับอาย แถมบางกรณียังต้องรับโทษทางกฎหมายอีกด้วยนะครับ

Back

SOCIAL NETWORK

Mono Mobile

แหล่งรวบรวมคอนเทนต์คุณภาพ ทั้งในรูปแบบวิดีโอคลิป สามารถดูได้ทุกที่ ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง รองรับการใช้งานหลากหลายอุปกรณ์

Mono Technology

อาคารจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล ทาวเวอร์ เลขที่ 200 หมู่ 4 ถนนแจ้งวัฒนะ ปากเกร็ด นนทบุรี 11120 เบอร์โทร 021007007

TAGS

บันเทิง, ข่าวสาร, ก็อซซิป, คลิปตลก, คลิปเด็ด, ดูดวง, เพลงฮิต, เกม, ความรัก, กีฬา