สุดยอดนักวิจัยไทย สามารถค้นพบทำแคบหมูจากเตาอบไมโครเวฟได้สำเร็จ
เพจ เคมีฟิสิกส์ของสิ่งทอ อาหาร และของรอบตัว ได้มีการโพสต์เรื่องราวสุดน่ายินดี เมื่อนักวิจัยไทยค้นพบการทำแคบหมูจากเตาอบไมโครเวฟแทนการทอดในกระทะที่เคยเห็นทั่วๆ ไป โดยเพจดังกล่าวได้มีข้อความระบุว่า
เรื่องน่าสนใจในการทำแคบหมูด้วยเตาอบไมโครเวฟ จากงานวิจัยของ ม.เกษตรศาสตร์ ที่หน้าตาดูดีไม่แพ้สูตรทอด แต่ประหยัดน้ำมันและดีต่อสุขภาพมากกว่าการทอด ที่มักจะทอดซ้ำในน้ำมันดำปี๋อ่ะครับ (ไม่ได้เกี่ยวกับแคลอรีที่ลดลงแต่อย่างใดนะครับ)
โดยที่สูตรที่ให้รสชาติและความกรอบที่น่าพึงพอใจที่สุด (ในรูป c แบบปกติ และรูป f ที่เป็นภาพขยาย) ได้จากการนำหนังหมูมาต้มในน้ำเกลือ 3% ในหม้อหุงข้าวที่อุณหภูมิ 97 °C นาน 40 นาที ซึ่งในขั้นตอนนี้จะเป็นการปรุงรสเค็มและแปลงสภาพคอลลาเจนในหนังหมูให้กลายเป็นเจลาตินด้วยความร้อนนะครับ
หลังจากนั้นก็นำมา #อบให้แห้ง (dry) ที่ 75 ± 2 °C เป็นเวลา 5 ชั่วโมง (หรืออาจจะประยุกต์ตากแดดจัดๆสัก 1 วันเต็มๆก็ได้) เพื่อให้หนังหมูนั้นคายความชื้นออกมากที่สุด เวลาอบไมโครเวฟจะได้ไม่ประทุอย่างรุนแรงนะครับ
แล้วจัดการ #อบให้พอง (puff) ในเตาอบไมโครเวฟที่ 1200 W นาน 3 นาที (น่าเสียดายที่เตาอบไมโครเวฟปกติเกรดธรรมดานั้นตั้งค่าได้สูงสุด 800 W เท่านั้น) ซึ่งถ้าใช้เตาอบไมโครเวฟแค่ 800 W ก็ควรต้องปรับเวลากันใหม่ ซึ่งแอดว่าคงไม่เกินความสามารถของลูกเพจแน่ๆ
#เผลอๆจะสามารถนำไปประยุกต์ทำหมูกรอบได้ด้วย
#หรือจะทำหมูกระจกก็ได้ (อย่าผวนนะเออ 😅😅)
#ลองปรับสูตรจากสูตรเริ่มต้นกันดูนะครับ
สุดท้ายนี้แอดก็ขอขอบคุณเนื้อหาและรูปประกอบบทความจากลิงก์นี้ด้วยครับ
http://kasetsartjournal.ku.ac.th/…/20…/A1501221602398593.pdf
ปล. งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 2014 แล้วนะครับ และศึกษารายละเอียดของสภาวะที่เหมาะสมโดยใช้ Response surface plot ในฟังก์ชันของปัจจัยต่างๆที่ใช้ทำการ Optimization นะครับ แต่แอดสรุปออกมาให้สั้นๆและง่ายๆเท่านั้น เพื่อทำให้ผู้อ่านใช้งานได้ทันที แต่เนื้องานวิจัยในการ optimized นั้นไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเลยนะครับ
เนื่องจากว่ากว่าจะได้กระบวนการสรุปถึงการใช้สภาวะที่เหมาะสมที่สุดนั้นต้องผ้่านความล้มเหลวมาไม่น้อยเลยทีเดียวและเรื่องแนวคิดในการทำงานวิจัยนั้นอย่าเพิ่งคิดว่าใครทำก่อนทำหลังครับ เนื่องจากว่า แม้งานวิจัยในเรื่องทำนองเดียวกันแต่มุ่งศึกษากันคนละปัจจัยหรือมองแนวคิดเทคนิคในการวิเคราะห์ต่างกัน ก็สามารถถือว่างานวิจัยนั้นเป็นคนละงานกัน และไม่ได้ลอกแบบกันมานะครับ
