รายงานข่าวแจ้งว่า วันที่ 25 ต.ค. 2562 ที่ผ่านมา บริษัท เอสอาร์เอฟ อินดัสทรี้ส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตผ้าใบยางรถยนต์ ที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ได้ประกาศเลิกจ้างพนักงานจำนวน 400 คน
โดยมีสาเหตุจากภาวะเศรษฐกิจที่ค่าเงินบาทแข็งตัว อีกทั้งบริษัทคู่ค้าที่รับซื้อผลิตภัณฑ์อยู่ก่อนหน้าได้ประกาศไม่รับซื้อสินค้าอีก ทำให้บริษัทไม่มีทางเลือกและประกาศปิดตัวดังกล่าว ทั้งนี้บริษัทจะทำการชำระค่าแรงและค่าสินไหมให้กับพนักงานที่ถูกเลิกจ้างตามกฎหมายต่อไป ขณะที่ข้อความในประกาศเลิกจ้าง ที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2562 ระบุว่า
บริษัทได้เริ่มดำเนินกิจการที่ระยองในปี 2551 แต่ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา สภาพเศรษฐกิจตกอยู่ในสภาพที่ไม่น่าไว้วางใจที่จะดำเนินกิจการโรงงานใน จ.ระยอง อีกต่อไป จนจุดที่ทำให้ต้องตัดสินใจได้มาถึง เนื่องจากความต้องการของตลาดลดลงและมีการชะลอตัวเกิดขึ้นทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งโครงสร้างทางต้นทุนที่สืบทอดมาอย่างต่อเนื่องของโรงงานระยองถือเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ต้องดำเนินการเพื่อตัดสินใจเช่นเดียวกัน ขณะเดียวกัน ค่าเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลกระทบให้การส่งออกของไทยย่ำแย่ลง และทำให้ความท้าทายทางเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้นไปอีก
ยิ่งไปกว่านั้น หนึ่งในลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งของบริษัท ซึ่งเป็นที่พึ่งพาแหล่งใหญ่ของโรงงานได้ตัดสินใจที่จะไม่ซื้อวัสดุที่ใช้ในการผลิตจากโรงงานอีกต่อไป และไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้บริษัทเชื่อว่าลูกค้ารายดังกล่าวจะเปลี่ยนการตัดสินใจนั้น จึงไม่เหลือทางเลือกอื่นอีก นอกจากต้องปิดกิจการโรงงานเทคนิคสิ่งทอ (ผ้าใบยางรถยนต์) ใน จ.ระยอง
ทั้งนี้ บริษัทจะทำการชำระค่าแรงและค่าสินไหมต่างๆ ทั้งหมดอันอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัทตามที่ได้ระบุไว้ในกฎหมายให้กับพนักงาน จนกระทั่งวันสุดท้ายของการทำงาน ตามเงื่อนไขในบทบัญญัติของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ซึ่งจะร่วมถึงค่าสินไหมทดแทนการเลิกจ้าง (คำนวณตามระยะเวลาการจ้างงาน) และค่าสินไหมทดแทนสำหรับวันหยุดประจำปีที่ยังไม่ได้ถูกใช้
อย่างไรก็ดีเมื่อเรื่องราวดังกล่าวได้เผยแพร่ออกไป ทำให้มีคนส่งต่อและเข้าไปแสดงความเห็นให้กำลังใจกับพนักงานกลุ่มนี้ที่เลิกจ้างเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเพจ ข่าวสารชลบุรี ที่ได้ระบุข้อความว่าขอเป็นกำลังใจให้พนักงานทุกคน พร้อมขอแนะนำว่าคนที่มีงานทำอยู่ ก็ควรวางแผนสำรองให้ดี เพื่อจะมีที่รองรับหากถูกเลิกจ้างอย่างเช่นกรณีนี้
