มีประเด็นน่าตกใจเกิดขึ้น ภายหลัง นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. รายงานว่า 1 ใน 3 ผู้ป่วยโควิด19 รายใหม่ เป็นทหารชาวอียิปต์ วัย 43 ปี ที่เดินทางเข้าไทย และเป็นลูกเรือเครื่องบินทหาร แต่มีประวัติเดินทางออกจากโรงแรมกักตัวในจังหวัดระยอง ไปนอกสถานที่ และมาตรวจพบเชื้อภายหลัง ทำให้ ศบค. ต้องเฝ้าระวังเข้มข้น โดยไทม์ไลน์การเดินทางของทหารชาวอียิปต์ รายนี้ พบว่า
- 6 กรกฎาคม 2563 เดินทางจากสนามบินกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
- 7 กรกฎาคม 2563 เดินทางจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไปยังปากีสถาน
- 8 กรกฎาคม 2563 เดินทางมาถึงสนามบินอู่ตะเภา เข้าพักที่โรงแรมแห่งในซึ่งเป็น State Quarantine ใน อ.เมืองระยอง
- 9 กรกฎาคม 2563 ออกจากโรงแรมใน จ.ระยอง ไปสนามบินอู่ตะเภา เพื่อบินไปทำภารกิจทางการทหารที่เมืองเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน และกลับมาวันเดียวกันเข้าพักที่โรงแรมแห่งเดิม
- 10 กรกฎาคม 2563 หน่วยปฏิบัติการควบคุมโรคติดต่อ (CDCU) อ.เมืองระยอง เข้าคัดกรองอาการคณะเดินทางและลูกเรือ เก็บตัวอย่างส่งตรวจทั้งคณะ 31 ราย
- 11 กรกฎาคม 2563 คณะดังกล่าวเดินทางออกจากประเทศไทยกลับไปยังอียิปต์ ซึ่งขณะนั้น ผลตรวจยังไม่ชัดเจน จึงส่งตรวจซ้ำ
- 12 กรกฎาคม 2563 ผลออกมายืนยันว่าติดเชื้อโควิด-19
นายแพทย์ทวีศิลป์ บอกอีกว่า ขณะที่ผู้ป่วยยังไม่ได้รับการตรวจสอบยืนยันผลการติดเชื้อ กลุ่มนี้ มีการออกจากโรงแรมที่กักตัวไปสถานที่บางแห่งใน จ.ระยอง รวมถึงห้างสรรพสินค้าบางแห่งด้วย เจ้าหน้าที่สอบสวนโรคจะต้องลงพื้นที่สัมผัสทุกแห่ง จึงรายงานเพื่อให้ประชาชนชาวระยอง รับทราบ พร้อมยืนยันว่า ศบค.ไม่ปกปิดข้อมูล
ด้านนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ทีมสอบสวนโรค อยู่ระหว่างเร่งค้นหาข้อมูลจากกล้องวงจรปิดของโรงแรมที่คณะลูกเรือนี้เข้าพัก และสถานที่ที่คณะลูกเรือให้ข้อมูล ว่าได้เดินทางไป
เช่น ห้างสรรพสินค้า ใน จ.ระยอง โดยทีมสอบสวนโรคจะต้องเร่งหา ผู้สัมผัสใกล้ชิดกับคนกลุ่มนี้ระหว่างนี้ขอให้ประชาชนใน จ.ระยอง มีการป้องกันตัวเองที่มากขึ้น และคาดว่า 2-3 วัน ทีมสอบสวนจะทราบผล
ด้าน พลเรือโทกฤชพล เรียงเล็กจำนงค์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานอู่ตะเภา เปิดเผยว่า การท่าอากาศยานอู่ตะเภา ได้ดำเนินการดูแลในส่วนผู้โดยสารที่เข้ามา เมื่อทราบว่ามาจากต่างประเทศ ผู้โดยสารทุกคนจะเข้าสู่กระบวนการคัดกรองโดยด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ และเข้าสู่กระบวนการ PUI ตามปกติ
สำหรับกรณีของลูกเรือทั้ง 31 คนจากอียิปต์นี้ ได้รับแจ้งว่า เครื่องที่เข้ามาในฐานะลูกเรือ เข้ามาเพื่อเติมน้ำมันและหยุดพัก ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดผู้ควบคุมยานพาหนะที่จำเป็นต้องเข้ามาปฏิบัติภารกิจ สามารถเข้ามาในประเทศได้ หากมีการกำหนดเวลาที่ชัดเจน
โดยเมื่อออกจากท่าอากาศยานอู่ตะเภา เข้าไปพักในเมืองแล้ว จะเป็นหน้าที่ของจังหวัดดูแลต่อไป ซึ่งภายหลังทราบว่ามีรายงานว่า มีบางคนออกไปเที่ยวนอกที่พักด้วย ส่วนในช่วงขาออกนอกประเทศนั้น ท่าอากาศยานอู่ตะเภายังไม่มีหลักฐานว่าลูกเรือติดเชื้อโควิด19 จึงไม่สามารถกักตัวไว้ที่ประเทศไทยได้
