สะเทือนวงการฟาสต์ฟู้ดครั้งใหญ่เลยทีเดียว เมื่อเอ็นพีซี อินเตอร์เนชันแนล ซึ่งเป็นเเฟรนไชส์ซี (ผู้รับสิทธิ์ในการดำเนินธุรกิจ) ที่ใหญ่ที่สุดของพิซซ่าฮัท ในสหรัฐอเมริกา และมีสาขามากถึง 1,227 แห่งออกมายื่นขอล้มละลายภายใต้ บทที่ 11 แล้วเรียบร้อย
โดยสาเหตุที่ทำให้เอ็นพีซี ตัดสินใจในทิศทางดังกล่าวเนื่องจากบริษัทเผชิญแรงกดดันจากรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนอาหารที่เพิ่มขึ้น นอกจากนั้นยังเจอคู่แข่งอย่าง Domino’s Pizza และ Papa John’s International ตัดราคา ซึ่งแม้ว่าบริษัทจะพยายามหารายได้เพิ่มอย่างการขยายตลาดสู่บริการเดลิเวอรี ก็ไม่อาจทำให้สถานการณ์ดีขึ้น (สถานการณ์ของบริษัทดีขึ้นในช่วงเดือนเมษายน – พฤษภาคมที่พบว่ายอดขาย เพิ่มขึ้น แต่ไม่อาจช่วยได้ในระยะยาว)
ผลจากการยื่นขอล้มละลายครั้งนี้ทำให้เอ็นพีซี ซึ่งมียอดหนี้อยู่ 903 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้มีโอกาสเปิดโต๊ะเจรจากับเจ้าหนี้ รวมถึงเปิดโอกาสในการปรับโครงสร้างองค์กรเสียใหม่ โดยรายงานจากบลูมเบิร์จ ระบุว่า บริษัทมีแผนจะขายร้าน Wendy’s ที่ดูแลอยู่ 393 แห่งออกไปด้วย
ตัวแทนของพิซซ่าฮัท กล่าวถึงการยื่นขอล้มละลายตามบทที่ 11 ของเอ็นพีซี ว่าเป็นโอกาสในการเติบโตครั้งใหม่ในอนาคต และเชื่อว่า หากเอ็นพีซี ดำเนินการตามกระบวนการที่กล่าวมา จะทำให้บริษัทมียอดหนี้ลดลง หรืออาจกล่าวว่าเป็นภาระหนี้ที่ไม่เป็นพิษภัยต่อบริษัท
อย่างไรก็ดี Andrew Charles นักวิเคราะห์จาก Cowen ได้มีการคาดการณ์ว่า Yum ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Pizza Hut อาจสูญเงินราว 54.2 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปีเลยทีเดียว จากการที่เอ็นพีซี หยุดจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้
โดยเอ็นพีซี ถือเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริการายล่าสุดที่มีการยื่นขอล้มละลายเนื่องจากไวรัสโควิด-19 ตามหลังบริษัทอย่าง CEC Entertainment, Hertz และ J. Crew และ J.C. Penney ที่ยื่นขอล้มละลายกันไปก่อนแล้วเรียบร้อย
