ห้องอาหาร เทรเดอร์ วิคส์ (Trader Vic’s) โรงแรมอนันตรา กรุงเทพฯ

สวัสดี พี่น้องชาว ตามรอยนักชิม ทุกท่าน สำหรับวันนี้กูรู มาเฟียฟู้ด ก็มีนัดพากันไปเที่ยวชิมเมนูเด็ดๆ ถึงย่านใจกลางเมืองกรุงกันเลยทีเดียว กับห้องอาหาร เทรเดอร์ วิคส์ (Trader Vic’s) อันเลื่องชื่อที่โดดเด่นเรื่องอาหารแถบมหาสมุทรแปซิฟิก เชื้อสายซานฟรานซิสโก ที่เรียกว่าบินตรงมาจากอเมริกา มาเปิดให้บริการ ณ โรงแรม อนันตรา กรุงเทพ ริเวอร์ไซด์ รีสอร์ท แอนด์ สปา กันเลยทีเดียว ส่วนหน้าตาเมนูรสชาติและบรรยากาศจะโดนใจกันขนาดไหน มาชมพร้อมๆ กันเลย

ห้องอาหาร เทรเดอร์ วิคส์ (Trader Vic’s) ได้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2457 ในเมืองซานฟรานซิสโก โดย มร.วิกเตอร์ เจเบอร์เจอรอน

อีกทั้งยังเป็นผู้ค้นพบ “ไหม ไท” ค็อกเทลอันลือชื่อที่ปรุงจากรัมชั้นดีอีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของคนรักทะเลที่มักจะนำไปใช้ดื่มเพื่อฉลอง กันบริเวณริมชายหาด

บรรยากาศภายใน ห้องอาหาร เทรเดอร์ วิคส์ (Trader Vic’s) เน้นการตกแต่งด้วยธีมแบบผสมผสานกลิ่นอายแบบหมู่เกาะแถบมหาสมุทรแปซิฟิก เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมชาติมากที่สุด จึงมีการตกแต่งด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ ทั้งเพดานไม้ไผ่สาน เสาไม้แกะสลักของชนเผ่าดั้งเดิม หน้ากากหนัง เรือแบบชาวเกาะที่แขวนจากเพดาน ตะเกียงโบราณ

พร้อมของจำลองต่างๆ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์ของประเทศที่พาดผ่านมหาสมุทรแปซิฟิก

รวมไปถึงสวนป่าขนาดใหญ่ภายในห้องอาหารที่จะช่วยจำลองวิถีชีวิตของชาวเกาะ ซึ่งจะช่วยเพิ่มอรรถรสในการรับประทานอาหารสูตรดั้งเดิมของ เทรเดอร์ วิคส์ (Trader Vic’s) ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

ภายในห้องอาหารกว้างขวางโอ่โถง เรียกว่าสามารถรองรับ แขกที่มาเยือนกว่า 140 คนได้อย่างสบายๆ

รวมไปถึงยังมีห้องส่วนตัวใหญ่ๆ อีก 3 ห้องไว้สำหรับจัดเลี้ยงกับ ครอบครัว,เพื่อนฝูง,สังสรรค์ปาตี้ ได้อย่างเป็นกันเองอีกด้วย

มีที่นั่งหลากหลายสไตล์ ให้เลือกไม่ว่าจะเป็นโซฟาหรือเก้าอี้ไม้ ก็จัดตามใจชอบได้เลย

นอกจากนี้บรรยากาศวิวด้านนอกเองก็สวยงามไม่เบาเช่นกัน โดยเลาจ์มุมนั่งทานอาหารด้านนอกห้องอาหาร เทรเดอร์ วิคส์ (Trader Vic’s) จะอยู่ติดริมแม่น้ำรายล้อมด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด

เต็มอิ่มกับการชื่นชมแสงระยิบระยับของสะพานกรุงเทพฯ สะพานพระราม 3 ในยามค่ำคืนของริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนใครที่ไปนั่งชิลก็อย่าลืมที่จะสั่งเครื่องดื่มค็อกเทลไหม ไท มาดื่มด้วย เข้ากั๊น เข้ากัน ดีนักเชียว

เมนูแนะนำ

เอาละครับ มาเริ่มกันที่ เมนูแรกมีชื่อว่า ซี่โครงหมูบาร์บีคิว (Barbecued Saint Louis Spareribs) ราคา 480/680 บาท ++ เรียกว่าเป็นเมนูที่มีเอกลักษณ์และกรรมวิธีทำไม่เหมือนใครจริงๆ ด้วยการนำเอาเตาอบแบบจีนสมัยราชวงศ์ฮั่นที่มีอายุเก่าแก่กว่า 2,000 ปี มาใช้อบในเมนูนี้

ซึ่งจะต่างจากการปรุงในแบบบาร์บีคิวในปัจจุบัน โดยเนื้อสัตว์จะไม่โดนเปลวไฟโดยตรง แต่จะใช้เพียงความร้อนที่หมุนเวียนอยู่ในเตา และควันจากถ่านไม้ธรรมชาติเท่านั้น ทำให้ไขมันของเนื้อสัตว์ไม่ตกโดนไฟ เรียกว่า เป็นซี่โครงหมูบาร์บีคิว ที่พอได้ชิมแล้วรู้สึก “เนื้อล่อนนิ่มเข้มข้น” เพียงแค่ปลายมีดสัมผัสไม่ต้องออกแรงเนื้อก็ล่อนออกมาทานได้อย่างสบาย ยังกับละลายในปากได้ยังไงยังงั้นเลย

ต่อด้วยเมนูที่ 2 ที่มีชื่อว่า ปลาหิมะซอสมิโซะกับเกี๊ยวปูราดซุปใส (Roaste Chilean Sea Bass) ราคา 750 บาท ++

เนื้อปลานุ่มลิ้นกำลังดี เข้มข้นหอมกรุ่นด้วยรสชาติซอสมิโซะสูตรพิเศษ รวมไปถึงเกี๊ยวปู ชิ้นโตๆ อร่อยเต็มคำ พร้อมด้วยซุปใสที่ราดลงไปช่วยให้เมนูนี้ไม่แห้ง ทานง่าย รสชาติไม่จัดจ้าน ดีต่อสุขภาพ เด็กทานได้ผู้ใหญ่ทานดีครับ

ถัดมาเมนูที่ 3 มีชื่อว่า หอยเชลล์ย่างซอสมะขามทานคู่กับสลัดมะม่วง (Seared King Sea Scallops) ราคา 400 บาท++

ถือว่าเป็นเมนูผสมผสานระหว่างวัตถุดิบของไทยและญี่ปุ่น นั่นก็คือ หอยโฮตาเตะ จากฮอกไกโด และ สลัดมะม่วง หรือ (ยำมะม่วง) บ้านเรานี่่เอง รสชาติออกหวานอมเปรี้ยวจิ๊ดจ๊าด ทานเป็นคำๆ ตัวเนื้อโฮตาเตะ เองก็นุ่มนิ่มหวานสดใหม่ (นำเข้า) คุณภาพดีส่งตรงจากญี่ปุ่น ตามด้วยความเปรี้ยวซาบซ่านจากยำมะม่วง เรียกว่า 2 รสชาติจบในคำเดียว เยี่ยมจริงๆ

กุ้งชุปแป้งทอดทานควบคู่กับซอสมะม่วง รสชาติกรอบนอกนุ่มในเนื้อกุ้งแน่นเน้นๆ จิ้มกับซอสมะม่วงชวนหวานอมเปรี้ยวเล็กๆ อร่อยฟิน

ตบท้ายด้วยเมนูของหวาน หน้าตาคล้ายโดนัท แต่หารู้ไม่ว่ามันคือ ช็อคโกแล็ตฟองดูว์ ที่ภายในอัดแน่นไปด้วยลาวาช็อคโกแลตที่พร้อมจะทะลักล้นออกมาเพียงแค่คุณใช้ ช้อนตักลงไป ไม่เพียงเท่านั้นยังได้ความหวานเย็นจากไอศกรีมวนิลา ที่เสิร์ฟมาให้ทานควบคู่กันในชุดอีกด้วย