ความรัก... ความรักคืออะไร หน้าตามันเป็นยังไง ความรู้สึกมันคือแบบไหน หรือมันจะเป็น
เพียงคำที่ใช้นิยามอารมณ์ในช่วงเวลาช่วงหนึ่งของชีวิต ตกลงในความคิดของเรานั้น "ความรักคือ
อะไร?"
1. "ตอนนี้โสดก็มีความสุขดี ไม่เห็นจะต้องมีแฟน"
ผมไม่เถียงนะครับเรื่องความสุขที่เกิดขึ้นระหว่างที่เราเป็นโสด เพราะตอนนี้ จขกท. ก็ยังโสดอยู่ครับ
และก็มีความสุขดี แต่ผมไม่เคยนำเอาเรื่องความโสดมาเปรียบเทียบกับการมีแฟนว่าแบบไหนมีความ
สุขกว่ากัน มันคนละเรื่องกันเลยด้วยซ้ำ โสดคือสถานะ มีแฟนก็คือสถานะ แต่ความสุขคือความสุข
ครับ ความสุขคืออารมณ์ ความสุขคือความพึงพอใจกับสถานะของคุณ คุณโสดคุณก็มีความสุขได้
คุณมีแฟนหรือแต่งงาน คุณก็มีความสุขได้ มันไม่ได้แปลว่าการเปลี่ยนสถานะของคุณจะทำให้ความ
สุขของคุณต้องลดลงหรือหายไป บางคนกลัวว่าการมีคู่ต้องคิดมาก ปวดหัว มีความทุกข์ ติดอยู่ใน
เงื่อนไข ก็ดูซิครับ ยังไม่ทันจะรักใครคุณเองก็กลับมีเงื่อนไขมากมาย "ถ้าจะรักกับฉัน ฉันอยากมีรักที่
ไม่มีเงือนไข นี่คือเงื่อนไขของฉันนะ" เอ๊ะ! ตกลงจะเอายังไงกันแน่?!! หรือแม้แต่คนที่ต้องร้างลากับ
ความรัก การเป็นโสดอีกครั้งไม่จำเป็นว่าต้องกลายไปเป็นความทุกข์ คุณอาจกำลังมีเวลาที่จะใส่ใจตัว
เอง ได้เก็บรายละเอียดในชีวิต ได้ทบทวนหลายสิ่งหลายอย่าง หรือได้พบเจอคนใหม่ๆที่ดีกับคุณ
จริงๆก็เป็นได้ "การไม่ปล่อยมือจากของเก่า แล้วของใหม่จะเข้ามาแทนที่ได้อย่างไร" (ในบางเคส ถ้า
คุณอยู่กับเพื่อนที่โสดหลายๆคน ก็ไม่แปลกที่คุณจะมองว่าความโสดเป็นเรื่องสนุก ทั้งที่ความจริง
แล้วคุณไม่ได้สนุกกับความโสด แต่คุณกำลังสนุกกับเพื่อนโสดๆของคุณต่างหาก!) สิ่งต่างๆในอนาคต
มันอาจเกิดขึ้นหรืออาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ถูกต้องไหมครับ ผมขอขมวดข้อนี้สั้นๆว่า การเป็นโสดคือ
Lifestyle มันเปลี่ยนแปลงได้เสมอ อย่าเอาความโสดกับความสุขมาผสมกันแล้วบอกว่าดีกว่าการมี
แฟน และเช่นกันก็อย่าเอาความโสดมาคิดว่าโสดแล้วต้องทุกข์จนต้องดิ้นรนหนีความเดียวดาย เพราะ
คุณจะต้องเจอทั้งความสุขและความทุกข์จากทุกการเปลี่ยนแปลง ทุกสถานะ คุณหนีความรู้สึกเหล่า
นั้นไม่พ้นหรอก! "คุณจะเจ็บต่อไปถ้าคุณยังมีตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลก"
2. "ที่ผ่านมาก็แบบนี้ทั้งนั้น!"
หลายครั้งที่ผมได้ยินเพื่อนบ่นหรือโพสต์ข้อความประชดประชัน ตีอกชกตัวถึงความเสียใจ ทำไมชีวิต
ถึงเจอแต่คนไม่ดี ทำไมมีแฟนไม่นานก็เลิก จนไปถึงวลีเด็ดที่ว่า "ผู้ชายก็เลวเหมือนกันหมด" หรือ "ผู้
หญิงก็แบบนี้แหละ" คนรวย คนจน คนมีการศึกษา คนบ้า สารพัด category ที่จะแบ่ง เพราะ
ประสบการณ์ความรักที่ผิดหวังซ้ำๆ มักจะเกิดขึ้นในรูปแบบเดิมๆซ้ำไปซ้ำมา ถามว่าเพราะอะไร? บน
โลกกลมๆใบนี้มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "คน" อาศัยอยู่ราวๆเจ็ดพันสี่ร้อยล้านคน (ข้อมูลปี 2016) แน่นอน
ว่าแต่ละคนก็จะมีนิสัยที่แตกต่างกันครับ เราทุกคนมีแก่น (Core) ของความเป็นตัวเรา และนิสัย
(Habit) ต่างๆของเราคือส่วนเติมแต่งให้เราเป็นเราแบบนี้ ทุกครั้งที่จะมีความรัก เราก็มักจะมองที่ความ
เข้ากันได้ รูปร่างหน้าตา พื้นฐานนิสัย และเมื่อเราเจอจุดเชื่อม เราก็จะเชื่อมจุดเหล่านั้นให้แข็งแรง แต่
คนเจ็ดพันสี่ร้อยล้านคนมันก็มีลักษณะต่างกันถึงเจ็ดพันสี่ร้อยล้านแบบ แต่เรากลับให้ความสนใจกับ
นิสัยบางแบบที่เราชอบ นั่นหมายความว่าโอกาสที่เราจะเจอความเสียใจจากคนเป็นล้านบนโลกที่ผ่าน
เข้ามาย่อมเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นไม่ใช่เพราะคนทุกคนเหมือนกันหมด แต่เพราะเราเองต่างหากที่
ให้ความสนใจ (Focus) ที่นิสัยบางแบบ และ "คาดหวัง" มันจากคนหลายๆคนที่เคยเดินผ่านเข้ามาใน
ชีวิต สิ่งที่ผมอยากบอกคือ "คนเก่ากับคนใหม่คือคนละคน" เราจะเหมาว่า ยีราฟคือสัตว์ ฮิปโปคือสัตว์
คุณไม่ชอบสัตว์ คุณเลยไม่ชอบทั้งยีราฟและฮิปโปมันก็ไม่แฟร์ถูกไหมครับ เช่นกันกับคน ถ้าคุณมอง
เค้าที่ธรรมชาติของเค้า ธรรมชาติของคนๆนึง คุณจะเลือกได้ง่ายขึ้นและผิดหวังกับความรักซ้ำไปซ้ำ
มาได้น้อยลง เพราะคุณเข้าใจในตัวตน (core) ไม่ใช่แค่สิ่งที่คุณเลือกที่จะสนใจ (Focus)
3. "ให้โอกาสเค้า เผื่อว่ารักของเราจะดีขึ้น"
เรื่องนี้คงเหมือนภาคต่อของข้อสอง หลายครั้งที่ผมเห็นเพื่อนเสียอกเสียใจ โอ๊ยยยยจะเลิกอย่างงั้น
อย่างงี้ เค้าทำให้ชีวิตเราพัง ทำชีวิตเราแย่ ฟังเพลงเศร้ายิ่งสะใจ กูนี่แหละเหยื่อของความรัก บลาๆๆๆ
ผ่านไปไม่ถึงสัปดาห์ โพสต์รูปคู่ลงโซเชียล สร้างฉากบอกกับโลกถึงความน่ารักในการขอคืนดี ดู
โรแมนติคดูมีความสุข แล้วเดี๋ยวมันก็กลับมาเลิกกันอีก พอไปไม่รอดจริงๆก็เหมาด่าความรัก แต่ไม่
นานนักก็มีแฟนใหม่ วนๆซ้ำๆ ... แล้วความรักคืออะไรครับ? ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งนะครับกับการให้
โอกาสคนผิดได้พิสูจน์ตัวเอง ถ้านั่นจะเป็นการทำให้เค้าปรับปรุงตัวใหม่ ทำในสิ่งที่ถูกต้อง (ต้อง
แน่ใจนะครับว่าสิ่งที่ต้องการให้เค้าปรับปรุงมันคือสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่การปรับเพื่อให้ถูกใจเรา) จาก
ข้อสองผมเน้นย้ำเรื่องของ "ธรรมชาติของคน" ธรรมชาติคือธรรมชาติครับ มันคือสิ่งที่ถูกฝึกและสะสม
มาตั้งแต่เป็นเด็ก เรื่องราวที่ผ่านมาของแต่ละคนแตกต่างกัน คนบางคนเติบโตมาในครอบครัวที่ขาด
ความอบอุ่นก็จะตามหาความอบอุ่น คนบางคนเติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่นก็อาจจะไม่ได้โหย
หาความอบอุ่นแต่โหยหาเรื่องความสำเร็จหรือแม้แต่เรื่องอื่นๆ นิสัยของแต่ละคนถูกเก็บสะสมมาเรียก
ว่า ประสบการณ์เก่า (Background) ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนใครได้หรอกครับ "ถ้าเจ้าตัวไม่ได้
คิดที่จะเปลี่ยนอะไร" ผมจึงจบข้อนี้ด้วยความจริงใจที่จะบอกว่า "คุยกับคนเดิมคุณก็จะได้เรื่องเดิม"
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรอกครับ อย่าเสียเวลา..
4. "เลวหรือดี"
คน... คือสิ่งมีชีวิตที่มีสมองส่วนคิด แต่ก็มักจะแพ้สมองส่วนสัญชาตญาณ เราพยายามคุยกันที่เหตุผล
แต่เราก็มักจะพังเพราะอารมณ์เสมอ และสมองของเรามักมีนิสัยอย่างหนึ่ง มันชอบตัดสินว่าอะไรดี
และอะไรเลวกับเรา เพื่อรักษาเราให้อยู่ในสภาวะที่ปลอดภัย แต่ทว่า... "ต่อให้รู้ว่าอะไรที่เลวกับเรา
แต่เราก็ยังไปรักมัน" และเราก็รู้สึกอึดอัด นั่นเพราะการทำงานของสมองสองส่วนทำงานขัดกันครับ
สมองส่วนคิดกับสมองส่วนสัญชาตญาณมันไม่ได้ลงเรือลำเดียวกันซะแล้ว จึงส่งผลให้ร่างกายเกิด
ความอึดอัด สารเคมีในสมองถูกหลั่งออกมามากมาย เหมือนคุณผสมน้ำแดงกับโซดาและมีเหล้าติด
มานิดๆ มึนซิครับ ผมเกริ่นนำหัวข้อนี้ซะยาวก็เพื่อนำคุณเข้ามาสู่โลกของการคิดตัดสินของสมองของ
คุณครับ อย่างที่เรียนให้ทราบว่ามีคนบนโลกอยู่เจ็ดพันสี่ร้อยล้านคน เราไม่สามารถแบ่งได้หรอกครับ
ว่ามีคนดีกี่คนและมีคนเลวกี่คน เพราะถ้าให้เราทุกคนเขียนความดีและความเลวของตัวเองจริงๆลงใน
กระดาษอย่างละ 10 ข้อ ผมก็เชื่อว่าทุกคนจะเขียนได้ครบทั้งความดีและความเลว (ถ้าคุณเขียนความ
เลวได้มากกว่าความดี แนะนำว่าให้เปลี่ยนแปลงตัวเองโดยด่วน เว้นแต่ว่าคุณรู้สึกโอเคกับมัน) เห็น
ไหมครับว่าเราทุกคนมีทั้งความดีและความเลวอยู่ในตัวเราเองทั้งสิ้น ดังนั้นการที่เราเป็นคนดีที่ชี้หน้า
ด่าคนอื่นว่าเลว เค้าเลวแบบนี้ ทำให้ชีวิตเราเป็นแบบนี้ ชีวิตเราต้องพังทลาย จิตใจสูญสลาย เพราะ
เค้าเป็นคนเลว เราพลาดที่เผลอไปคบคนเลว ผมคิดว่านั่นคือทัศนคติที่ผิดที่สุดนะครับ เค้าทำเลวกับ
เรานั่นเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นครับ (ในที่นี้ขออนุมานคำว่าเลวคือเลวจริงๆก่อนนะครับ) เค้าเลวกับเรา ส่ง
ผลให้เราได้รับความสูญเสีย อันนี้เข้าใจได้ แต่เพราะเราสูญเสีย ชีวิตของเราจึงพังทลาย อันนี้ผมไม่
ค่อยเห็นด้วย เพราะชีวิตเราก็คือชีวิตของเราครับ ไม่มีใครจะมาพังชีวิตเราได้นอกเสียจากเราเองที่
ยอมเป็นเหยื่อของความผิดพลาดที่เกิดขึ้น และปิดบังความอ่อนแอของตัวเองไว้ด้วยการฝากความ
เลวความรับผิดชอบไว้ที่ใครอีกคน ... (ผมเคยเห็นคนคนหนึ่งที่ถูกตีตราว่าเป็นคนเลว เป็นสามีที่เลว
แต่เค้าก็ไม่เคยจากครอบครัวไปไหน และก็ยังดิ้นรนทำมาหากินอยู่ คนๆนั้นคือพ่อผมเอง) เมื่อไหร่
ก็ตามที่มีคนทำไม่ดีกับเรา ผมขอให้นึกไว้เสมอๆครับว่า "No body perfect!" ถ้าไปกันไม่ได้ก็แยก
ย้าย ไม่เห็นต้องตีตราใครว่าดีหรือเลว เพราะคุณไม่รู้ได้แน่ชัดหรอกครับว่าคนๆนั้นเค้าเคยผ่านอะไร
มา
5. "ใครทำยังไงก็ได้อย่างนั้น"
ตลอดช่วงเวลาความโสดที่เป็นสุขของผม 9 ปีที่ผ่านมา มีเคสความรักเข้ามาปรึกษาผมเยอะมาก ผม
เฝ้าดูและวิเคราะห์พื้นฐานนิสัยของคน มุมมองความคิด ไปจนถึงการตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆ
และผมมักจะได้พบกับวลีเด็ดของกลุ่มคนที่ผิดหวัง เช่น "เวรกรรมมีจริง" "ใครทำยังไงก็ได้อย่างนั้น"
เต็มไปด้วยความเครียดแค้น ตัดพ้อ ความโกรธ โมโห ทุกสิ่งอย่างมาเต็ม เรียกได้ว่าฆ่าได้คงฆ่ากันให้
ตายไปข้าง และกลายเป็น "ความเกลียดชัง" (Disgust) ภายในใจของคนๆนั้น ผมขอฉีกมุมมองนี้ออก
ไปซักนิดนะครับ ถ้าถามผมว่าเวรกรรมมีจริงมั๊ย ผมตอบว่ามีจริงครับ แต่ถ้าถามว่าเวรกรรมคืออะไร ผม
คงตอบว่าคุณไม่ต้องเสียเวลาสวดคาถาสาปแช่งใดๆ หรือใช้อวิชชาให้ใครอีกคนต้องรู้สึกเจ็บปวด
เหมือนที่เค้าทำให้คุณรู้สึกหรอกครับ เพราะเวรกรรมมันเกิดจากการกระทำ มันคือผลของการ
แสดงออกที่เกิดขึ้นจากนิสัยที่เป็นลักษณะเฉพาะตัว ถ้าแก่นของความเป็นคุณกับความเป็นเค้ามันเข้า
กันไม่ได้ การแยกจากกันก็ถูกต้องแล้วนี่ครับ จะอยู่กันไปเพื่อทำร้ายหัวใจกันทำไม คุณอาจไม่พอใจ
ในสิ่งที่เค้าเป็น(บางสิ่ง) อาจเป็นสิ่งเล็กๆที่ทำให้คุณกับเค้าต้องจากลากัน เกลียดกัน และคุณก็สาป
ส่งไปว่าเพราะสิ่งๆนั้นที่เค้าเป็น(และคุณไม่ชอบ) มันจะต้องส่งผลให้เค้าต้องชีวิตพังเหมือนที่เค้าเข้า
มาพังชีวิตคุณในตอนนี้! (และบางกรณีก็พาลด่า "คนแบบนี้ก็เหมือนๆกันหมด!" คุ้นๆมั๊ยครับ) โอ้โห!
ปาทิชชู่สิปัดโธ่! นี่มันแค้นฝังหุ่นชัดๆ น่ากลัวมาก ซึ่งผมจะบอกความลับให้ครับ ความจริงแล้วถ้าเค้า
คนนั้นจะโดนกรรมตารมสนองนั่นไม่ใช่เพราะคุณอ้อนวอนให้เค้าต้องพบกฏแห่งกรรมหรอกครับ
เพราะถ้ามันจะแค่นั้นคุณกับเค้าเคลียร์กันมันก็จบง่ายกว่า แต่ที่เค้าต้องไปเผชิญวิบากกรรมต่อนั่นก็
เพราะว่า "นิสัย" ของเค้าครับ นิสัยไม่ดีที่มันทำให้คุณกับเค้าไปกันไม่ได้ ถ้ามันเป็นนิสัยที่ไม่ดีจริงๆ
และไม่ดีกับคนอื่นด้วย คุณไม่ต้องสาปแช่งเค้าให้ร้อนใจตัวเองเปล่าๆหรอกครับ เพราะเค้าเองก็ไม่
อาจอยู่บนโลกนี้ได้ด้วยนิสัยแย่ๆแบบนั้นอย่างมีความสุขอย่างแน่นอน "ไม่มีหรอกเวรกรรมตามที่คิด
หวัง มีแต่ความพังเพราะการกระทำที่เกิดจากนิสัย"
6. "เข้าใจมั๊ยที่ฉันรู้สึกแบบนี้เพราะว่า..."
เคยมีวลีที่ว่า "คนเราชอบหาเหตุผลเพื่อมาอธิบายอารมณ์ตัวเอง" ผมเห็นด้วยล้านจุดเก้าเก้าเก้า
เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะไม่ขออธิบายอะไรมากในข้อนี้นะครับ เราทุกคนมีสิ่งที่เผชิญกันมาแตกต่างกัน ระดับ
ความทนทานต่อสถานการณ์ต่างๆก็ไม่เท่ากัน และสิ่งที่สำคัญที่สุดเหมือนคำสอนของพระพุทธเข้าที่
กล่าวถึงเรื่อง "อิทัปปัจจยตา" หมายความว่า "ทุกเหตุการณ์ในโลกล้วนมีความจริงเพียงหนึ่งเดียว"
การที่เราทุกข์เพราะความรัก นั่นเพราะเราเข้าไม่ถึงความจริงเหล่านั้น เช่น เราไม่รู้ว่าแฟนเราพูดโกหก
เราอยู่หรือเปล่า และต่อให้เค้าพูดจริงเราก็ไม่เชื่อเค้าอยู่ดี แล้วแบบนี้หนทางแห่งความสุขจะอยู่ตรง
ไหน? เพราะถ้าอยู่ไปแบบนี้นานๆ ความหวาดระแวงในใจก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ เหนื่อยไหมครับที่ต้อง
คอยหาเวลามาเคลียร์ความรู้สึกกัน ต้องคอยหาเหตุผลเพื่อมาอธิบายอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ ต้อง
อยู่กับ "มโน" (คำที่หลายๆคนใช้กันอย่างติดปาก) คิดไปต่างๆนานา ว่าถ้าเป็นแบบนี้แล้วจะต้องเป็น
แบบนั้น แล้วเดี๋ยวมันก็จะต้องออกมาเป็นแบบนี้ๆๆๆ ตามแต่ประสบการณ์ของคนๆนั้นจะสร้างตรรกะ
ของตัวเองขึ้นมา (พอตรรกะไม่ตรงกันก็ยอมกันไม่ได้อีก) มีแต่คนปกป้องตัวเอง แต่ไม่มีคนวางดาบ
วางโล่แล้วคุยกันที่เหตุผลจริงๆ ฉะนั้นสาระของข้อนี้คืออยากให้มองที่ความเป็นจริง เป็นกลาง แฟร์
ทั้งกับเค้า และแฟร์กับใจของตัวเราเอง อย่าเพิ่งตัดสินจากความจริงเพียงด้านเดียว เราไม่จำเป็นต้อง
ยัดอารมณ์เพื่อให้เค้าสมยอมในเหตุผลของเรา ระลึกไว้เถอะครับว่า "ทุกอารมณ์ซ่อนเหตุผล ทุก
เหตุผลซ่อนอารมณ์" มองมันให้เป็นกลาง ขจัดอารมณ์ต่างๆที่ขวางการใช้เหตุและผล แม้แต่ใน
ภาพยนตร์ที่เราชม ซีนอารมณ์กับซีนเหตุผลก็มักจะแยกแยะออกจากกันอย่างชัดเจนใช่ไหมครับ
7. "เวลาจะเยียวยาทุกสิ่ง"
ไม่จริงครับ ฮ่าๆๆ ผมขออนุญาตเริ่มบทนี้ด้วยคำตอบตีแสกหน้าแรงๆเลยว่าไม่จริง เวลาคือเวลาครับ
เวลาไม่เคยช่วยอะไร เวลาเป็นเพียง Scale ที่ใช้วัดความนานของสภาพความรู้สึกเท่านั้น มันไม่
สามารถทำให้ดีขึ้นหรือแย่ลงได้ด้วยตัวของมันเอง หากแต่สิ่งที่เยียวยาเราได้คือ "สิ่งแวดล้อม"
(Surrounding) รอบตัวเราต่างหาก คุณลองนึกภาพตามผมนะครับ ให้คุณอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่มอบ
ความสุขสมปราถนา 1 ปีเต็ม และให้คุณอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีแต่ความทุกข์ระทมแสนสาหัส 1 ปีเต็ม
เช่นกัน คุณว่าเวลา 365 วันเท่ากันนี้ ครบกำหนดเวลา 1 ปี ทัศนคติของคุณจะแตกต่างกันมากขนาด
ไหน!! เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเสียใจ คุณต้องการการเยียวยาหัวใจ ผมขอแนะนำว่าให้คุณ "ค่อยๆ"
เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมของคุณ ผมไม่ได้หมายถึงว่าให้คุณออกไปตัดหญ้า ปลูกต้นไม้ ลอกท่อระบายน้ำ
เปลี่ยนสีห้องนอนหรืออะไรแบบนั้นนะครับ (แต่ความจริงผมเองก็ทำแบบนั้นนะครับ มันช่วยผมได้มาก
เลยละ) คุณอาจเริ่มจากการเปลี่ยนรูปแบบของการดำเนินชีวิต เช่น ออกกำลังกายเพื่อให้ตัวเองดูดีจน
เค้าต้องเสียดายคุณ (ตัวอย่างมีมากมายในพันธุ์ทิพย์นะครับ) การเริ่มอ่านหนังสือดีๆ หรือการเริ่ม
จริงจังกับความฝันและเป้าหมายของชีวิต และไม่ใช่แค่เพิ่มสิ่งเหล่านี้นะครับ แต่คุณต้องรู้จักตัดสิ่งที่
เกี่ยวข้องกับเค้าออกด้วย บรรยากาศเดิมๆ สังคมที่คุณและเค้ารู้จัก ก็ไม่ใช่เลิกคบสังคมนั้นๆนะครับ
แต่พักความสัมพันธ์ไว้ก่อน เพราะถ้าคุณเฝ้าแต่อยากรู้ความรู้สึกของเค้า คุณจะแอบหาทางจนคุณได้
รู้ว่าเค้ารู้สึกอะไรกับคุณอยู่(ผ่านทางสังคมที่เคยเชื่อมเค้ากับคุณ) และไม่ว่าเค้าจะรู้สึกอะไรก็ไม่เป็น
ผลดีกับคุณอย่างแน่นอน ถึงเค้าจะคิดถึงคุณ คุณก็ทำอะไรไม่ได้ และถ้าเค้าไม่คิดถึงคุณ คุณกลับยิ่ง
รู้สึกเสียใจ ก็สู้ไม่รู้ซะเลยจะดีกว่า และสำคัญที่สุดคือคุณต้องรู้จักจบ คิดให้จบจริงๆ จบขนาดที่เรียก
ว่า "กูจะไม่กลับมาคิดเรื่องนี้อีก" เพราะทุกอย่างได้คิดจนจบไปหมดแล้ว และเริ่มใช้เวลาที่แสนมีค่า
กับเรื่องราว "ใหม่ๆ" ในชีวิต สิ่งแวดล้อมสำคัญมากครับ มันไม่มีผลทางตรงซะทีเดียว แต่พลังของสิ่ง
แวดล้อมนี่แหละครับที่หล่อหลอมให้คุณเป็นคุณ และมันทำงานแบบนี้มาตั้งแต่คุณยังเด็กๆแล้ว ถ้า
คุณอยู่ในสิ่งรอบตัวที่มีแต่ความสุข ความอบอุ่น ความท้าทาย คุณจะไม่มีแม้แต่เวลามาเสียใจแม้ซัก
วินาทีเดียว! (หนึ่งวินาทีสำคัญขนาดไหน ให้ลองถามคนที่เพิ่งเสียคนรักไปเพราะเค้าช้าไปแค่วินาที
เดียว) จากนี้ขอให้ใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ส่งคุณไปสู่ความฝันและเป้าหมาย ไม่ใช่สิ่งแวดล้อมที่
ทำลายหรือทำให้คุณเสียเวลาเลยนะครับ "เวลาไม่ได้ช่วยเยียวยาอะไรหรอก สิ่งแวดล้อมเท่านั้นที่
กำหนดทัศนคติของคุณ" และขอเสริมอีกนิดครับ "ไม่ควรกำหนดเวลาเพื่อกดดันตัวเอง เพราะการที่
เราก้าวไปข้างหน้า แม้มันจะทีละน้อยแต่มันก็คือความก้าวหน้าครับ"
8. "ชอบคนธรรมดาหรือว่าชอบคนพิเศษ"
เพื่อนๆเคยหรือพอจะคุ้นๆมั๊ยครับ ใครคนนึงที่เรารู้สึกว่าเค้าอยู่สูงจากจุดที่เรายืนอยู่ ดูเป็นไปไม่ได้
ด้วยซ้ำกับเรา แต่พอมารู้เรื่องราวหรือได้สัมผัสด้วยตัวเองกลับพบว่าเค้าคนนั้น "ธรรมดา" มากๆ หรือ
อีกกรณีเช่นได้รู้จักคนโคตรธรรมดาคนนึงที่พอคุยแล้ว ได้รู้วิธีคิด การใช้เหตุผล รสนิยมต่างๆ แล้วถึง
กับต้องเปลี่ยนความคิดว่า "แหม่! ไม่ธรรมดาซะจริงๆ" ถ้าเพื่อนๆเคยเจอหรือคุ้นๆกับเหตุการณ์เหล่านี้
ผมขอแสดงความยินดีครับที่เพื่อนๆยังพอมีทักษะในการสัมผัสและเรียนรู้ผู้คน นั่นแปลว่าเราสนใจที่
จะสอดส่องชีวิตใครคนนึงด้วยความใส่ใจในรายละเอียด ทีนี้มาดูกันครับว่า "ธรรมดา" กับ "พิเศษ" ที่
เราได้เจอนั้นมันคืออะไร ทำไมสิ่งที่เห็นกับสิ่งที่เป็นมันถึงได้แตกต่างกันนัก ความจริงแล้วมันเป็น
เรื่องของการกำหนดตำแหน่ง (Position) ที่เกิดจากมุมมองของเราเท่านั้นเองครับ เรามองใครก็มักจะ
ประเมินและวางเค้าไว้อีกจุดหนึ่ง และตัวเราเองมองตัวเองก็จะวางตัวเราเองไว้อีกจุดหนึ่ง ความแตก
ต่างของจุดสองจุดคือขนาดของ "ความเป็นไปไม่ได้" (Impossible) ซึ่งเรามักจะเปรียบเทียบชีวิตเค้า
จากภาพลักษณ์ (Image) กับชีวิตจริงของตัวเรา (Reality) ซึ่งถ้าจะว่ากันตามตรรกะแล้วสองสิ่งนี้มัน
เอามาเทียบกันในสมการไม่ได้นะครับ (เคยเห็นคนชีวิตดีที่เป็นหนี้บัตรและกลับบ้านกินมาม่า กับคน
ชีวิตไม่ค่อยดีแต่มีเงินเก็บบ้างมั๊ยครับ) การประเมิน (Evaluate) นี้เกิดขึ้นในความคิดของเราเท่านั้น
ในความเป็นจริงไม่ได้มีใครกำหนดราคาหรือติดป้ายมูลค่าของใครไว้ที่หน้าผาก จึงไม่แปลกที่เรามัก
จะรู้สึกแปลกเมื่อสิ่งที่เราคิดนั้นไม่เป็นไปตามความคาดหวังที่ได้คุยกับคนที่เราคิดว่าเค้าพิเศษสำหรับ
เรา หรือกลับรู้สึกประทับใจเมื่อได้สัมผัสกับคนที่เราคิดว่าเค้าธรรมดาเมื่อเค้ากลับมีความพิเศษ สิ่งที่
ผมอยากจะสื่ออย่างชัดเจนในข้อนี้คือ "ไม่มีความธรรมดาหรือความพิเศษอะไรหรอกครับ" ถ้าคุณ
ชอบคือคุณชอบ ถ้าคุณไม่ชอบคือคุณไม่ชอบ ว่ากันไปตามธรรมชาติของตัวคุณและธรรมชาติของตัว
เค้า หลายครั้งมีเพื่อนๆที่หวังดีมักจะแนะนำผมว่า "โสดๆมานานอย่าง ทำไมไม่ลองมองคนธรรมดาดู
บ้างละ ชอบมองแต่คนสวยๆ" และทันทีที่ได้ยินประโยคแบบนี้ผมก็มักสวนกลับไปด้วยความตะหงิดๆ
ในใจว่า "แล้วอะไรคือธรรมดา อะไรคือพิเศษ" (และคิดในใจด้วยว่า แล้วใครไม่ชอบคนสวย และคน
สวยที่ไม่ธรรมดาไม่มีหรือไง ทำไมต้องกำหนดมูลค่าใครด้วย?) ผมเจอคนสวยที่ความจริงแล้ว
ธรรมดาก็เจอมามากมาย ผมเจอคนหน้าตาบ้านๆที่อยู่กันลำพังแล้วน่ารักที่สุดในโลกก็เคยเจอ และ
ผมก็ไม่ได้บอกว่าคนสวยหรือคนหน้าตาบ้านๆ แบบไหนจะมีมูลค่ามากกว่าแบบไหน เพราะฉะนั้นผม
จึงไม่โอเคที่ใครจะพูดเพื่อกำหนดราคาใครว่าใครธรรมดาใครพิเศษ เพราะทุกคน Limited Edition มี
เพียงคนเดียวจากเจ็ดพันสี่ร้อยล้านคน มองหาคนที่ใช่จริงๆเถอะครับ มันไม่เกี่ยวว่าพิเศษหรือธรรมดา
มันเกี่ยวที่ว่า "คุณจะหาคนธรรมดาที่พิเศษสำหรับคุณเจอหรือไม่" เท่านั้นเอง (ถ้าชีวิตนี้คุณไม่ได้
ตั้งใจจะเข้าสายบวชในบั้นปลายชีวิต การได้พบเจอคนธรรมดาที่พิเศษเรียกว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ควรทำ
ก่อนตาย)
9. "ถึงกูจะเจ็บแต่กูก็ยอม เพราะกูรักมัน!"
บ้ามากๆ! เป็นความสุดโต่งและเป็นคนที่ไม่รักตัวเองอย่างที่ไม่น่าให้อภัย! คุณคิดว่าความรักต้อง
ทุ่มเท ต้องยอมทนกับความเจ็บปวดเพื่อพิสูจน์ว่านี่คือรักแท้อย่างนั้นหรอครับ ผิดแล้วละ! แท้จริงแล้ว
คนถูกดีไซน์ด้วยธรรมชาติ ซึ่งถ้าศึกษาตามธรรมชาติของคนแล้ว คนไม่ได้มีฟังก์ชั่นรับความทุกข์
ซ้ำซากหรือถูกพันธนาการด้วยความรู้สึกอะไรที่มากและนานขนาดนั้น คนคือสิ่งมีชีวิตที่มีสมองส่วน
หน้า สามารถจินตนาการได้ล่วงหน้าด้วยเหตุและผล การบาดเจ็บทางใจแต่ก็ทนจึงไม่ใช่วิถีธรรมชาติ
ที่คนควรจะทำ ร่างกายทุกร่างกายจะมีสมอง และในสมองส่วนที่ลึกที่สุดจะมี "แกนสมอง" อยู่ครับ ซึ่ง
หน้าที่ของมันคือการรักษาร่างของเจ้านายมันไม่ให้ "ตาย" มันจะควบคุมระบบหายใจ ระบบการเต้น
ของหัวใจ ระบบขับถ่าย มันต้องการให้คุณอยู่ไปนานๆ เพราะถ้าคุณตายมันก็ตายด้วย (เจ้าแกนสมอง!
ตกลงรักกูหรือรักตัวเองกันแน่) และแกนสมองจะแบ่งหน้าที่ให้สมองส่วนอื่นๆได้ทำงานด้วย เช่น อมิ
กดาล่าที่คอยดูแลเรื่องความปลอดภัยของเรา หรือแม้แต่สมองส่วนหน้าที่ช่วยให้เราคิดด้วยเหตุผลว่า
อะไรควรอะไรไม่ควร แต่ก็แปลกนะครับที่คนบางคนไม่ยอมคิดอะไร รักไปเจ็บไปไม่ลืมหูลืมตา สมอง
มันรักร่างกายเรามันทำทุกอย่างเพื่อให้เราไม่ตาย แต่หารู้ไม่ว่าเจ้าของร่างที่มีจิตใจเห็นแก่ตัวกำลังจะ
ตายเพราะผิดหวังในความรักจากใครอีกคน ร่างกายของเรา ชีวิตของเรา ความสุขและความทุกข์คือ
ทางเลือก ถ้าเราเลือกที่จะทุกข์เราก็จะทุกข์ ถ้าเราเลือกที่จะสุขเราก็สุข มันก็เท่านั้น ถ้าถามผมว่าผม
มีความทุกข์มั๊ย? การสลัดความทุกข์มันง่ายขนาดนั้นเลยหรอ? ผมตอบเลยครับว่ามันไม่ง่ายหรอก
ครับ ผมเองก็มีความทุกข์ แต่สิ่งที่ธรรมชาติให้เรามาแต่กำเนิดคือ "สติ" ถ้าระลึกได้บ่อยๆ ความทุกข์ก็
จะน้อยลงทันที ดังที่เคยมีบทกล่าวของหลวงพ่อท่านหนึ่งว่า "รู้ลม กรรมดับ" หมายถึง เมื่อใดที่เรามี
สติ กรรมต่างๆก็จะหยุดไปในทันที กรรมเกิดจาก 3 อย่าง ได้แก่ มโนกรรม (Thought) วจีกรรม
(Word) กายกรรม (Action) ทันทีที่คุณมีสติ ระลึกรู้ถึงลมหายใจ กรรม 3 ทางนี้ก็จะหายไปทันที ผม
ลากเข้าธรรมะซะยาว ความจริงต้องการบอกคุณว่า ชีวิตของเราถ้าเราไม่รักตัวเราเอง แล้วเราจะรักคน
อื่นได้อย่างไร ถ้าเราไม่ปกป้องความสุขของตัวเอง แล้วเราจะปกป้องความสุขของคนที่เรารักได้
อย่างไร ทุกวันนี้ผมยังโสด เพื่อนๆของผมมีลูกกันหมด ผมเองก็อยากมีลูก ผมก็คิดนะครับว่า "ถ้ากูยัง
เป็นพ่อที่ดีให้ตัวเองไม่ได้ แล้วกูจะเป็นพ่อที่ดีให้ลูกกูได้ยังไง" ฉะนั้นผมอยากให้กำลังใจทุกคนนะ
ครับว่าควรรักตัวเองให้มากพอและอย่า "รักตัวเองจนลืมตัวเอง" ไม่ว่าจะรักตัวเอง (เค้า) จนลืมตัวเอง
(เรา) หรือไม่ว่าจะรักตัวเอง (เรา) จนลืมตัวเอง (เค้า) ก็ควรจัดสมดุลให้ดี
Mono Mobile
แหล่งรวบรวมคอนเทนต์คุณภาพ ทั้งในรูปแบบวิดีโอคลิป สามารถดูได้ทุกที่ ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง รองรับการใช้งานหลากหลายอุปกรณ์
Mono Technology
อาคารจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล ทาวเวอร์ เลขที่ 200 หมู่ 4 ถนนแจ้งวัฒนะ ปากเกร็ด นนทบุรี 11120 เบอร์โทร 021007007
TAGS
บันเทิง, ข่าวสาร, ก็อซซิป, คลิปตลก, คลิปเด็ด, ดูดวง, เพลงฮิต, เกม, ความรัก, กีฬา