หลังจากที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถูกหยุดสถิติไร้พ่ายในเกมลีก 22 นัดติดต่อกัน จากผลงานของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่เปิดรัง แอนฟิลด์ เฉือนหวิว “เรือใบสีฟ้า” ไปด้วยสกอร์ 4-3 ซึ่งวันนี้เรามาดูกันว่า 5 ประเด็นร้อนหลังเกมดังกล่าวจะมีอะไรที่น่าพูดถึงบ้าง..
5 เรื่องควรรู้หลังเกม หงส์แดง หยุดสถิติไร้พ่าย เรือใบสีฟ้า
ข้อดีของการไร้เงา “คูตี้”
– แม้ว่าจะต้องเสีย เพลย์เมคเกอร์ ตัวเก่งอย่าง คูตินโญ่ ไปให้กับ บาร์เซโลน่า เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่เห็นได้ชัดว่าประสิทธิภาพในแดนกลางของ “หงส์แดง” เมื่อได้ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ลงมารับตำแหน่งแทน ดูจะมีจุดเด่นที่สามารถทดแทนกันได้อยู่พอสมควร โดยเฉพาะเรื่องของการไล่เพรสซิ่งบอลในแดนกลางที่ทำเอาบรรดา มิดฟิลด์ “เรือใบสีฟ้า” ไปไม่เป็นกันหลายราย ต่างจากตอนที่มี “คูตี้” อยู่ในสนาม แม้ว่าจะเด่นในเรื่องเกมรุก แต่เกมรับยังถือว่าเป็นจุดอ่อนสำคัญของ “พ่อมดน้อย”
2.) เหตุผลที่ต้องซื้อ ฟาน ไดจ์ค
– หลังจากที่ ลิเวอร์พูล ได้ประตูขึ้นนำ 4-1 หลายคนคงคิดว่า “หงส์แดง” จะสามารถปิดเกมไปได้อย่างง่ายดาย แต่ที่ไหนได้บรรดา กองหลัง ยังอุตส่าห์ปล่อยให้ “เรือใบสีฟ้า” ซัด 2 เม็ดรวดภายใน 5 นาที ไล่จี้มาเป็น 4-3 ในช่วงท้ายเกม และดูจะไม่ใครเป็นที่พึ่งพาอาศัย หรือเป็นผู้นำในเกมรับได้เลยในช่วงเวลาดังกล่าว
3.) มิลเนอร์ ตัวทำเกม(เสีย!)
– การที่ เจอร์เกน คล็อปป์ ส่งรองกัปตัน มิลเนอร์ ลงมาเล่นในตำแหน่ง มิดฟิลด์ตัวรับ เพื่อพัก เอ็มเร่ ชาน ไว้ใช้งานในเกมถัดใป แต่ใครจะเชื่อว่าการลงสนามมาในนาที 79 จะทำให้รูปเกม แดนกลาง ของ “หงส์แดง” ไร้ประสิทธิภาพลงไปแบบสุดโต่งขนาดนี้ เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้เกมรับดีขึ้น ช่วงท้ายเกมยังเกือบเป็นคนทำให้ แมนฯ ซิตี้ ได้ลูกตีเสมอจาการทำฟาวล์ชนิดเสียค่าโง่(หวดหน้าแข้ง) กุน อเกวโร่ แบบไม่โดนบอลพร้อมกับได้รับใบเหลือง และเสียฟรีคิกในบริเวณอันตรายช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
4.) คาริอุส สมควรก้นด้าน
– เป็นอีกครั้งที่ เจอร์เกน คล็อปป์ ยังคงไว้วางใจเลือกใช้งาน ลอริส คาริอุส นายด่าน คนบ้านเดียวกัน ให้ลงมาเฝ้าเสาในฐานะ 11 ตัวจริงเป็นเกมที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งมือกาว หน้าหล่อ รายนี้ยังคงโชว์ฟอร์มได้สมราคา “ตรงเป็นตุง” ให้สาวก “เดอะค็อป” ได้ลุ้นตัวเกร็งตลอด 90 นาทีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจังหวะโดนตีเสมอ 1-1 ที่ออกมาปิดเสาแรกไม่ดีจนโดน เลรอย ซาเน่ ยิงยัดไส้เข้าไปอย่างง่ายดาย ส่วนอีก 2 ลูกที่เหลือก็เป็นการยิงตรงกรอบของ “เรือใบสีฟ้า” เพียง 2 ครั้งในช่วงครึ่งหลัง และคาริอุส ก็ปล่อยให้บอลเข้าไปตุงข่าย ชนิดไม่มีวี่แววว่าจะป้องกันได้ตามคาด
5.) ไม่มีที่ว่างสำหรับ โมเรโน่
– แม้ว่าจบเกม อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน จะได้รับตำแหน่ง “แมน ออฟ เดอะ แมตช์” ไปครอง แต่อีกหนึ่งผู้เล่นที่สมควรได้รับคำชมก็คือ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่นับวันเริ่มจะเข้าไปนั่งอยู่ในใจของสาวก “เดอะค็อป” ได้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะจังหวะการไล่ประกบอดีตศิษย์เก่าอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ชนิดต้องตามประกาศหาคนหายตลอดทั้งเกม ก่อนที่จะถูก เป๊บ กวาร์ดิโอล่า เปลี่ยนตัวออกมานั่งทำใจข้างสนามตั้งแต่นาที 71
