ตำนานหงส์แนะ คล็อปป์ ซื้อ 3 ดาวดังเสริมทีม

Featured

ฟิล บาบบ์ อดีตแนวรับของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ออกโรงแนะนำให้ต้นสังกัดเก่าควรใช้งบจากการขาย ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ให้กับ บาร์เซโลน่า ด้วยเม็ดเงินมูลค่า 142 ล้านปอนด์ ไปคว้าตัว 3 สตาร์ดังเข้ามาทดแทนความเสียหายในตลาดซื้อขายนักเตะเดือน มกราคม นี้

โดยอดีต เซ็นเตอร์แบ็ค วัย 47 ปี ได้เลือก 3 ผู้เล่นที่ ลิเวอร์พูล ควรซื้อตัวเข้ามาเสริมแกร่งผ่านสื่อชั้นนำอย่าง Sky Sports ซึ่งรายแรกได้แก่ โธมัส เลอมาร์ ปีกกึ่งมิดฟิลด์ตัวรุกจากสโมสร โมนาโก และเควิน สตรูทมัน กองกลางตัวรับของ โรม่า รวมไปถึงมือกาวอนาคตไกลของ สโต๊ค ซิตี้ อย่าง แจ็ค บัตแลนด์ เข้ามาเติมเต็มความโหดในตลาดซื้อขายที่กำลังเปิดให้มีการโยกย้ายทีมกันอยู่ในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ลิเวอร์พูล เพิ่งได้ตัวผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาเสริมแกร่งในตลาดซื้อขายนักเตะเดือน มกราคม เพียง 1 ราย ได้แก่ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ซึ่งถือเป็นการย้ายทีมสำหรับผู้เล่นในตำแหน่ง กองหลัง ที่มีมูลค่าแพงสุดในโลก (75 ล้านปอนด์) ณ ปัจจุบัน

Liverpool Thomas Lemar

Liverpool Jack Butland

จัดเรตติ้งนักเตะ ลิเวอร์พูล เกมเชือด ทอฟฟี่

ลิเวอร์พูล สามารถผ่านเข้ารอบ 4 เอฟเอ คัพ ได้แบบหืดจับ หลัง เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค กองหลังใหม่แกะกล่องประเดิมหรูด้วยการโขกประตูชัยพาทีมหงส์แดงเปิดแอนฟิลด์เฉือน เอฟเวอร์ตัน 2-1 มาดูกันว่าแข้ง ลิเวอร์พูล จะได้กี่คะแนนบ้างในเกมนี้…

ลอริส คาริอุส 6
ไม่มีจังหวะต้องออกแรงเซฟมากมาย แต่เมื่อถึงจังหวะเสียประตู นายด่านหน้าหล่อทำได้แค่ยืนมองบอลเข้าประตู เพราะยืนผิดตำแหน่งเสียอย่างนั้น แถมยังมีจังหวะเหวอๆ อีกเล็กน้อย

โจ โกเมซ 6
ไม่ถูกเจาะทางฝั่งนี้ในครึ่งแรก แต่ครึ่งหลังเจอบททดสอบพอสมควร แถมเกมนี้ โกเมซ พยายามเล่นยากหลายจังหวะจนเกือบโดนฉกมาโดนสอยคาบ้านแล้วไหมล่ะ

โจเอล มาติป 6
ฟอร์มขึ้นๆ ลงๆ ในเกมนี้ ไม่ว่าจะเป็นจังหวะยืนตำแหน่งเกมรับหรือจังหวะต่อบอลให้เพื่อนที่ยังมีขาดๆ เกินๆ ในหลายจังหวะ

เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค 9
คุ้ม 75 ล้านปอนด์แล้ว? ยัง! แต่เป็นนิมิตรหมายอันดี เพราะกองหลังดัตช์แมนแสดงให้เห็นถึงความเร็วและความแข็งแกร่งในเกมรับตลอด 90 นาทีแรกในสีเสื้อ ลิเวอร์พูล และยังสวมบทฮีโร่โหม่งประตูชัยประเดิมสนามอีกด้วย

แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน 8
เจอบททดสอบตลอดทั้งเกม แต่แบ็ควิสกี้ก็สามารถพึงพาได้ดีพอสมควร แม้จะมีจังหวะหลุดไปบ้าง แต่ โรเบิร์ตสัน ถือว่าทำมันได้ยอดเยี่ยมทั้งจังหวะรับและเติมเกมรุก

เจมส์ มิลเนอร์ 7
ผึ้งงานในแดนกลาง คอยไล่กดดันผู้เล่น เอฟเวอร์ตัน และรับหน้าที่สังหารจุดโทษเป็นประตูขึ้นนำ 1-0

อดัม ลัลลาน่า 6
เป็นเกมที่น่าผิดหวังของพ่อราดหน้า ทำเสียในหลายจังหวะ แถมยังตัดเกมไม่ค่อยได้ แต่ยังดีที่สามารถเรียกจุดโทษได้ในครึ่งแรก ก่อนจะถูกเปลี่ยนตัวออกในครึ่งหลัง

อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน 7
สารพัดตำแหน่งจริงๆ สำหรับกองกลางรายนี้ เกมนี้ยังคงแสดงให้เห็นถึงความขยันทั้งเกมรับและรุก แต่ด้วยเกมเพรสซิ่งเร็วของ เอฟเวอร์ตัน ทำให้ อ๊อกซ์เลด ทำอะไรได้ไม่ถนัดสักเท่าไหร่ ก่อนจะเป็นคนเปิดมุมให้ ฟาน ไดจ์ค เขกเน้นๆ เป็นประตูชัย

ซาดิโอ มาเน่ 6
พยายามโชว์ลูกขยัน แต่ไม่สามารถสร้างความหวือหวาเหมือนเกมเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ เมื่อฤดูกาลที่แล้วได้

โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ 6
ทำอะไรได้ไม่ถนัด เพราะเกมเพรสซิ่งของ เอฟเวอร์ตัน บ๊อบบี้ พยายามลงมาล้วงบอล เพื่อต่อบอลกับเพื่อนๆ และลงมาช่วยในเกมรับ ทำให้จังหวะยิงเหน่งๆ แทบจะไม่เห็นเลยในเกมนี้

ตัวสำรอง

จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม (แทน ลัลลาน่า ’70) 6
ลงมาเก็บบอลในแดนกลาง ซึ่งถือว่าทำได้ดีพอตัว

โดมินิค โซลันกี้ (แทน มิลเนอร์ ’77) 6
ลงมาเพื่อหวังเปลี่ยนเกม ซึ่งสามารถค้ำกองหลัง เอฟเวอร์ตัน ได้ดี

เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (แทน โกเมซ ’77) 6
ลงมาหยุดความจี๊ดของ ลุคแมน แทน โกเมซ ที่หลุดในเกมนี้ ถือว่าทำได้ดีพอตัว

5 เรื่องควรรู้หลังเกม หงส์แดง เชือด ทอฟฟี่

หลังจากที่จบการแข่งขันศึกฟุตบอล เอฟเอ คัพ อังกฤษ รอบ3 ไปสดๆร้อนๆ สำหรับการดวลกันระหว่าง ลิเวอร์พูล มีคิวเปิดสนาม แอนฟิลด์ ปะทะคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง เอฟเวอร์ตัน ก่อนจะจบเกมลงไปด้วยชัยชนะของ “หงส์แดง” ที่มาได้ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ปราการหลังตัวใหม่แกะกล่องโขกพังประตูชัยในช่วงท้ายเกมพาทีมเอาชนะไปด้วยสกอร์ 2-1 โดยวันนี้เรามาดูกันว่า 5 ประเด็นร้อนหลังเกมที่ควรถูกพูดถึงในศึก เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ เวอร์ชั่น FA Cup หนนี้ มีอะไรกันบ้าง..

5 เรื่องควรรู้หลังเกม หงส์แดง พลิกคว่ำ ทอฟฟี่ ลิ่วรอบ4 เอฟเอ คัพ

1.) กลางอากาศ ฟาน ไดจ์ค กวาดยับ!
– หนึ่งในจุดบอดของ “หงส์แดง” ที่เป็นปัญหามาอย่างยาวนาน ดูจะได้รับการแก้ไขที่ตรงจุดในยุคการคุมทีมของ เจอร์เกน คล็อปป์ หลังจากที่ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค แสดงให้เห็นแล้วว่าสามารถเก็บกินลูกกลางอากาศจากผู้เล่น เอฟเวอร์ตัน ได้แทบจะทั้งหมด แถมการลงประเดิมนัดแรกกับทีมดูแล้วสามารถเพิ่งพาอาศัยได้มากกว่า โจเอล มาติป ที่ยังคงออกอาการเหว๋อให้เห็นอยู่หลายจังหวะในเกมนี้

2.) เกมรุกขาดสีสัน
– หลังจากที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ ทำให้ปัจจุบันเกมรุกของ “หงส์แดง” ดูจะฝืดและลดความอันตรายลงไปอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเกมนี้ เจอร์เกน คล็อปป์ จะพยายามปรับใช้ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่มีความเร็วขึ้นไปเติมเต็มตำแหน่ง ริมเส้นฝั่งขวา แต่จังหวะจบสกอร์และความเฉียบขาดยังดูเป็นรอง ซาลาห์ อยู่หลายขุม อีกทั้ง ซาดิโอ มาเน่ ยังคงห่างไกลจากความมั่นใจเดิมๆที่เคยทำได้เหมือนในฤดูกาลที่ผ่านมา

3.) กลางสนาม ไร้มิติ..
– ดูเหมือนว่าประสบการณ์ที่สั่งสมมาของ เจมส์ มิลเนอร์ ตลอดชีวิตการค้าแข้งจะไม่ดีพอสำหรับการยืนปักหลักในตำแหน่ง มิดฟิลด์ เนื่องจากประสิทธิภาพตรงกลางสนามของ “หงส์แดง” ในเกมวันนี้(รวมไปถึงนัดผ่านๆมาที่เจ้าตัวได้ลงสนาม) ความเฉียบขาดในเรื่องของการจ่ายบอล รวมไปถึงการจบสกอร์จากนอกกรอบเขตโทษ ดูจะเป็นรองผู้เล่นคนอื่นๆในทีมอย่างเห็นได้ชัด(ยกเว้น เฮนเดอร์สัน) ซึ่งประโยชน์เดียวที่ ลิเวอร์พูล จะได้รับจาก มิลเนอร์ ในเวลานี้ ก็คือการลงมาช่วยเพื่อนไล่บอลจากคู่แข่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

4.) โรเบิร์ตสัน ดีวันดีคืน
– เชื่อว่าสาวก “เดอะค็อป” หลายคนแทบจะไม่มีใครนึกถึงชื่อของ อัลเบร์โต้ โมเรโน่ ในเวลานี้ หลังจากที่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน กำลังทำผลงานได้อย่างดีวันดีคืน และเริ่มจะเข้าขากับเพื่อนร่วมทีมมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นจังหวะการเติมเกมรุก หรือระเบียบวินัยเกมรับที่มักจะไม่ปล่อยให้แฟนบอลของตัวเองต้องเสียวสันหลังอยู่เป็นประจำเหมือนตอนที่มี โมเรโน่ ยืนประจำการอยู่ทางฝั่งซ้าย

5.) มือโกล ตรงเป็นตุง!!
– จากผลงานนัดนี้ของ ลอริส คาริอุส แม้ว่าประตูที่เสียไปจะมาจากจังหวะจบสกอร์ที่ค่อนข้างเฉียบขาดของ กิลฟี่ ซิเกิร์ดส์สัน (เอฟเวอร์ตัน ยิงเข้ากรอบหนเดียวตลอดทั้งเกม) แต่อย่างไรก็ตาม ชื่อว่าถ้าหากเป็น มือกาว คนอื่นที่พอจะมีฝีไม้ลายมืออยู่บ้าง น่าจะทำได้ดีกว่าการยืนขาตาย และปล่อยให้บอลเข้าไปมุดก้นตาข่ายโดยใช้เพียง หางตา ป้องกัน อีกทั้งการออกมารับบอลกลางอากาศยังทำผิดพลาดจนเกือบพาทีมเสียประตูอย่างง่ายดายอีกด้วย