สาวจี้ล่าตัวโรคจิต สำเร็จความใคร่ใส่ระหว่างทางไปรถไฟฟ้า MRT

โลกออนไลน์ได้พากันส่งต่อข้อความเตือนภัยจากหญิงสาวรายหนึ่ง หลังเธอถูกชายไม่ทราบชื่อตามประกบก่อนจะสำเร็จความใคร่ใส่ ระหว่างทางลงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT

ซึ่งสาเหตุที่เธอนำเรื่องราวดังกล่าวออกมาเผยแพร่ ก็เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้เพื่อนหญิงทุกคนที่เดินทางคนเดียวระมัดระวังตัว อีกทั้งเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดี หากปล่อยไว้อาจทำให้ไปก่อเหตุซ้ำอีก ขณะเดียวกันการกระทำลักษณะนี้ไม่ต่างอะไรกับการถูกข่มขืน โดยเธอได้มีข้อความระบุว่า

โปรดอ่าน!!! มีเรื่องเหี้ยมากเกิดขึ้นกับเราวันนี้ โปรดระวัง แชร์ต่อได้เลยนะ เล่าให้ฟังเป็นอุทาหรณ์ค่ะ เพราะไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใคร มันเกิดขึ้นกับเราวันนี้สดๆ ร้อนๆ ใจจริงทั้งกลัวทั้งอายอยากร้องไห้ แต่ไม่อยากให้คนเหี้ยๆ แบบนี้อยู่ในสังคม และอยากให้ผู้หญิงทุกคนระวังตัว ส่วนผู้ชายก็โปรดเตือนให้กับคนที่คุณรักด้วย ไม่ว่าจะเป็นแฟนเพื่อนหรือคนในครอบครัว…. :

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นวันนี้ 30/10/2019 ขณะที่จะไปขึ้นรถไฟฟ้า MRT สถานีสุขุมวิท ทางออกที่ 1 ฝั่งข้างๆ Black Canyon ฝั่งนี้คนไม่พลุกพล่านเหมือนบันไดเลื่อนตรง Terminal21 Asok Shopping Mall ทางออกฝั่งนี้คนค่อนข้างน้อยตลอด

ขณะที่ลงบันไดเลื่อนเราก็ใส่หูฟังฟังเพลงปกติของเรา สักพักเราก็รู้สึกเหมือนมีลมหายใจอยู่ข้างๆ เราไม่ได้ยินอะไรเพราะใส่หูฟัง เราหันไปเจอผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้เรามากๆ แบบมากๆๆๆๆ

คือยืนขั้นบันไดหลังเราชิดมากๆ ทั้งๆ ที่พื้นที่ก็เยอะแยะ ทำไมต้องใกล้ขนาดนี้ พอเห็นแบบนี้เราก็รีบเดินลงบันไดแล้วเดินผ่านจุดตรวจที่ยามอยู่ เราไม่กล้าหันไปมองเพราะกลัวมากๆ แต่เราแค่ได้ยินยามพูดว่า “หยุดๆ ขอตรวจค่ะ”

ตอนที่คนนั้นมันถึงจุดตรวจ คือเอาจริงยาม MRT ก็ไม่ค่อยหยุดใคร จริงมะ ส่วนใหญ่ก็ตรวจผ่านๆ ไม่ก็ไม่ตรวจเลย แต่นี่ นางบอกขอตรวจ!!! เราก็เอ่ะใจแบบอีเหี้ย มันต้องมีอะไรแน่ๆ
หลังจากนั้นเราก็เดินต่อ สักพักนึงมีป้าคนนึงวิ่งมาหาเราด้วยความเป็นห่วงแล้วพูดว่า “หนูๆๆ มีคราบเหมือนฟองนมติดอยู่ตรงก้นค่ะ” เราก็แบบ “ห๊ะ!?” เพราะเราไม่ได้กินคาปูชิโน่เลย แล้วเราก็ไม่ได้นั่งด้วยตั้งแต่ออกจากบ้าน เดินอย่างเดียว

ด้วยความที่งงและสงสัยก็เอามือปาดแล้วดม แล้วคือเชี่ยยยยไม่น่าใช่ฟองนมละ คือตอนแรกคิดว่าอาจจะเป็นขี้นกหรือใครเดินแล้วกาแฟกระเด็นใส่ แต่ขนาด สัมผัส และกลิ่น มันไม่ใช่จริงๆ

ณ จุดนั้นเราก็นึกกลับไปถึงอีโรคจิตที่อยู่ข้างหลัง ในใจอยากจะร้องไห้ ไม่อยากคิดว่ามันเป็นสิ่งนั้นจริงๆ เราจึงเล่าให้เพื่อนฟัง นางบอก มีคนเคยโดนแบบนี้ใน BTS ตามข่าวนี้เลยดูได้ใต้คอมเม้นนะ

เราเองต้องใช้รถไฟใต้ดินเพื่อเดินทางไปทำงาน สำหรับเราหลังจากนี้จะไปขึ้นอีกฝั่งแทน แต่นี่เป็นแค่การแก้ปัญหาจากปลายเหตุ เราเองไม่อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับใคร รับไม่ได้ มันเหี้ยมาก

มันเห็นผู้หญิงเป็นอะไร แล้วถ้าวันนึงมันเกิดหื่นกว่านี้อยากทำอะไรมากกว่านั้นถึงขั้นข่มขื่นจะต้องทำไง ผู้หญิงเราไม่ควรที่จะต้องมากังวลเรื่องอะไรเหี้ยๆ แบบนี้ เราไม่ควรต้องอยู่ด้วยความวาดระแวงไม่ว่าเราจะไปไหน และพวกเหี้ยนี้ก็ไม่มีสิทธ์ที่จะสำเร็จความใคร่บนผู้หญิงที่เค้าไม่ได้มีความปรารถนาที่จะให้มึงทำเช่นนั้น

นี่คือร่างกายของเรา ไม่ใช่ของใคร แบบนี้ก็ไม่ต่างกับการโดนข่มขื่น สำหรับเรา เราจะไปแจ้งทาง MRT เพื่อให้รู้ถึงเหตุการณ์นี้ และเราจะไม่หยุดแค่นั้น เราพอแล้วกับการที่ผู้หญิงต้องมาเจออะไรแบบนี้

นี่คือครั้งแรกและหวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่โดนแบบนี้ แต่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องเจอกับเหตุการณ์เหี้ยๆ วันก่อนก็มีอีกเหตุการณ์นึงกับทาง Grab Bike เหมือนคนขับจะมีการช่วยตัวเองระหว่างขับมอเตอร์ไซ และเราได้แจ้งไปทาง Grab แล้ว…….

เพื่อนๆ ช่วยแชร์ด้วย และถ้ามีข้อแนะนำว่าเราควรทำยังไงให้คนอื่นได้รู้และ aware กับกรณีแบบนี้ได้มากขึ้นช่วยบอกเราที เราไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับใคร มันฝังใจจริงๆ บอกต่อให้กับแฟนเพื่อนพี่น้องและคนที่คุณรักด้วยนะ ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ

MRT #MRTSukhumvit #BTSAsok #GrabThailand #SexualHarassment #SexualAbuse #Womensright #ItsMyBody #Thailand

ทั้งนี้ภายหลังผู้เสียหายได้โพสต์ข้อความเตือนภัยแล้วเสร็จ เธอก็เดินทางไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี เพื่อให้ดำเนินการล่าตัวคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่นิ่งนอนใจ เร่งตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุเพื่อหาหลักฐานทันที

ผลวิจัยชี้อีก30ปีน้ำทะเลสูงขึ้น ไทยเสี่ยงจมบาดาล

ซีเอ็นเอ็น สื่อยักษ์ใหญ่ รายงาน โดยอ้างผลการศึกษาวิจัยใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Journal Nature Communications ระบุว่าประชาชนหลายร้อยล้านคนทั่วโลกตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะสูญเสียที่อยู่อาศัย เนื่องจากเมืองทั้งเมืองอาจจมอยู่ใต้บาดาล โดยมีการระบุว่า ใน 30 ปีข้างหน้า ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นถึง 2-7 ฟุต หรือประมาณ 0.6 -2.1 เมตร และบางทีอาจสูงขึ้นมากกว่านี้ ภายในศตวรรษที่ 21

ซึ่งผลกระทบเหล่านี้ อาจเกิดขึ้นจากวิกฤตสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้จากจำนวนประชากรที่ตกอยู่ใต้ความเสี่ยงจากปัญหาระดับน้ำทะเลสูงขึ้นที่เป็นข้อมูลใหม่และปัญญาประดิษฐ์ ประมาณพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบและมากกว่าการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ถึงเกือบ 3 เท่า

การคาดการณ์ยังระบุด้วยว่า ในอีก 31 ปีข้างหน้า ผืนดินซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านเรือนประชาชนราว 300 ล้านคน จะอยู่ต่ำกว่าระดับความสูงของน้ำที่เข้าท่วมชายฝั่ง ซึ่งนั่นหมายความว่าคนจำนวนมากจะตกอยู่ในความเสี่ยง และอาจมีผู้คนกว่า 300 ล้านคนเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมสูงอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งในปี 2100 นอกจากนี้บ้านเรือนของผู้คนกว่า 200 ล้านคนอาจอยู่ต่ำกว่าแนวคลื่นอย่างถาวร

นายเบนจามิน สเตราส์ส หนึ่งในผู้เขียนรายงานการศึกษานี้ และยังเป็น CEO ขององค์กรที่ทำงานโดยไม่แสวงกำไร ‘Climate Central’ ได้ชี้ว่า ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างรุนแรง ทำให้ธารน้ำแข็งละลายและเกิดน้ำท่วมสูง ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการแก้ไขทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดภัยพิบัติต่อเศรษฐกิจและมนุษยชาติ

อย่างไรก็ตาม รายงานนี้ยังระบุด้วยว่า หากไม่มีการสร้างเขื่อนป้องกันทางทะเลที่เพียงพออาจทำให้ประชาชนราว 70% ได้รับความเสี่ยงจากการประสบอุทกภัยและถูกน้ำท่วมอย่างถาวร โดยผู้คนที่อาศัยอยู่ในเอเชีย 8 ประเทศ ได้แก่ จีน บังกลาเทศ อินเดีย เวียดนาม ไทย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่นเป็นพื้นที่เสี่ยงตามที่รายงานระบุ

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลระบุว่า เมืองในประเทศจีนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำมีความเปราะบางเป็นพิเศษ ได้แก่ เซี่ยงไฮ้ เทียนจิน และฮ่องกง ส่วนเมืองอื่นๆ ในเอเชีย ที่มีความเสี่ยงน้ำท่วม ได้แก่กรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม กรุงธากา เมืองหลวงบังกลาเทศ และเมืองโกลกาต้า ทางตะวันออกของอินเดีย นอกจากนี้บริเวณปลายแหลมญวนทางตอนใต้ของเวียดนามอาจจมอยู่ใต้บาดาลทั้งหมด

ที่มากไปกว่านั้นคือในอีก 19 ประเทศ รวมถึงบราซิลและสหราชอาณาจักร อาจมีพื้นที่ที่เป็นผืนดินลดลงอย่างถาวร และอาจตกอยู่ใต้แนวน้ำท่วมในปี 2100 นอกจากนี้ในสหรัฐอเมริกา ก็อาจเผชิญกับปัญหาระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น และอาจนำไปสู่การอพยพประชาชนออกจากแนวชายฝั่งครั้งใหญ่ หากไม่มีการป้องกันที่ดีพอ หรือขาดการกระจายความหนาแน่นของประชากรทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม ปัญหาระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นนั้น ส่งผลให้อุณหภูมิโลกอุ่น และทำให้พืชผลที่เกษตรกรเปลี่ยนแปลงไป เพราะปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของพืช และนั่นหมายถึงผู้คนหลายล้านคนอาจเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนอาหารและน้ำดื่ม รวมไปถึงอาจต้องเผชิญกับวิกฤตสุขภาพและเศรษฐกิจโลกที่ชะงักงัน