3 นิสิตสุดเจ๋ง จากคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่สามารถคว้ารางวัลทุนการศึกษาด้านศิลปะ

3 นิสิตสุดเจ๋ง จากคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่สามารถคว้ารางวัลทุนการศึกษาด้านศิลปะ กองทุนส่งเสริมการสร้างสรรค์ศิลปะมูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูรานนท์ จากการเข้าร่วมกิจกรรมประกวด ‘เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน’

(1) แจน-พิชชาพร เกษหอม

นิสิตชั้นปีที่ 4 คณะศิลปกรรมศาสตร์ ภาควิชาทัศนศิลป์ สาขาจิตรกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ชื่อผลงาน : Woman

แรงบันดาลใจในการสร้างผลงาน : Concept งาน “ผู้หญิงในความรู้สึกที่ข้าพเจ้ามองเห็น” ได้แรงบันดาลใจมาจากที่ในสังคมปัจจุบันหรือในอดีต ผู้หญิงถูกจัดลำดับความน่าสนใจ ความสำคัญให้ลดลง โดยให้ค่าในความงามเป็น Sex Symbol  มากกว่าทักษะ ความคิด ความสามารถ ถูกกำหนดให้เป็นเพศที่อ่อนแอ เป็นผู้ตาม ในบางครั้งผู้หญิงจึงถูกซ้อนเร้นบทบาทความสำคัญในสังคม ความเกิดเหลื่อมล้ำทางเพศ ทำให้เกิดแนวคิดคตินิยม หรือที่เรียกว่า Feminism ขึ้นมาเพื่อสนับสนุนและเรียกร้องสิทธิและความเสมอภาคของสตรี จึงได้หยิบยกความไม่เท่าเทียมกันในเพศหญิงขึ้นมาเป็นแกนหลักในการสร้างสรรค์ผลงาน ผ่านรูปทรงดอกไม้ และ Figure ผู้หญิง และความรู้สึกที่เรามองเห็น ใช้สีที่ให้ความรู้สึกรุนแรง ผ่านขบวนการ Painting

จุดเด่นของผลงาน : อยู่ที่การใช้สีที่ตัดกัน สีที่ให้ความรู้สึกต่างๆ และ Texture ที่เรา ใช้ ผงแคลเซียมคาร์บอเนต มาผสมกับสีน้ำมันทาบ้าน ทำให้เนื้องานมีความนู้น จับเป็นก้อน เป็น Texture พิ้นผิวที่มีความต่างกัน และให้ความรู้สึกถึงความแน่นของเนื้อสี  และการแสดงอารมณ์ผ่านการป้ายป้าดสีในแต่ล่ะส่วนของงาน

ความยากง่าย อุปสรรคต่างๆ : ความยากของงานนี้คงเป็นหัวข้อหลักที่เราลงประเด็นพูดถึงเรื่อง Feminism ซึ่งข้อมูลมีความหลากหลายและกว้างกว่าที่เราคิดไว้ เราเลยแก้ปัญหาโดยการ พยายาม Scope ให้แคบลงจับประเด็นสำคัญเพียงประเด็นเดียวเพื่อที่ไม่ทำให้งานเราดูไกลตัว เลยเลือกแสดงความรู้สึกในมุมมองจากตัวเราแล้วค่อยต่อยอดข้อมูลที่เราค้นคว้ามา ในงานทำงานขึ้นมาหนึ่งชิ้น เราจำเป็นต้องทำ Sketch จำนวนหลายชิ้น เพื่อที่จะนำงาน sketch ที่ดีที่สุดมาทำงานชิ้นใหญ่ ก็เลยเกิดปัญหาขึ้นมาว่า เราคิด sketch ไม่ออก ก็แก้ปัญหาจาก Sketch มือ ใช้สีน้ำ  เปลี่ยนมาใช้โปรแกรม Photoshop หาข้อมูลภาพจากในอินเตอร์เน็ต หรือบางส่วนที่เราถ่ายเอง นำมาไดร์คัท ด้วยวิธีการ Collage จนพอใจ ซึ่งเป็นวิธีที่เราคิดว่าสามารถขยายไอเดียในส่วนที่เราต้องการได้

ฝากถึงน้องๆ ที่สนใจ : สำหรับการเรียนศิลปะ เราไม่ได้อาศัยแค่ความชอบเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องอาศัยทั้ง ความรักความเชื่อในสองสิ่งนี้ด้วย เราต้องถามตัวเองก่อนว่า สิ่งที่เราเลือก คือสิ่งที่เราต้องการแล้วจริงๆ เหรอ โลกศิลปะยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราต้องเรียนรู้ ฝึกฝน และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอไม่มีวันจบสิ้น แต่ถ้านี่คือความฝันของเราก็จงออกไปคว้ามัน

 

(2) พรปวีณ์  ภู่แดง

นิสิตชั้นปีที่ 4 คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาภาพถ่าย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ชื่อผลงาน : ศิวิไลซ์ระบาด (The scourge of civilized society)

แรงบันดาลใจในการสร้างผลงาน : สมัยนี้มักจะถูกเรียกว่าเป็นยุคแห่งอิทธิพลจากการเสพติดเทคโนโลยีตลอดจนสื่อ Midia ต่างๆ จึงทำให้เกิดจินตนาการว่า หากยุคสมัยนั้นเทคโนโลยี ก้าวกระโดดและเข้าถึงง่ายเหมือนสมัยปัจจุบัน ความเป็นอยู่ของคนไทยในสมัยก่อนจะเป็นภาพเช่นไร

จุดเด่นของผลงาน : เป็นการย้อนให้เกิดคำถามถึงความเป็นอดีตและปัจจุบัน ความเปลี่ยนแปลงที่มีทั้งความเหมือนและความต่างที่ทับซ้อนกันอยู่ สื่อภาพถ่ายก็เป็นอีกเทคโนโลยีหนึ่งซึ่งสำหรับเราพอกดถ่าย ภาพนั้นมันก็เป็นภาพของอดีตไปแล้วเหมือนกัน จุดที่ต้องการให้ผู้ชมนึกถึงเวลาเห็นงานนี้ คือ เราต้องการในผู้ชมตีความกับภาพโดยไม่ต้องตรงกับแนวคิดเราก็ได้ ชุดไทยแบบนี้ ถ้าไม่ใช่หน้าเทศกาลลอยกระทงหรือหนังพีเรียตก็ไม่ใช่สิ่งคุ้นตาในชีวิตประจำวัน แต่เทคโนโลยีพวกนี้ก็เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยกันดี เวลามันอยู่ด้วยกันมันมีความผิดที่ผิดทางอยู่ เป็นการกระตุ้นผู้ชมให้เกิดการจินตนาการและตั้งคำถาม

ความยากง่าย อุปสรรคต่างๆ : ความยาก คือ การตีโจทย์ตัวเองให้แตก ปกติเวลาคิดงานอะไร เป็นคนคิดซับคิดซ้อน กว่าจะตัดทอนความคิดให้เหลือแต่ประเด็นที่ต้องการจริงๆ ก็จะต้องใช้เวลา แต่ต้องยอมหน่อย เพื่อป้องกันการหลงประเด็น

ฝากถึงน้องๆ ที่สนใจ : การหาว่าตัวเองชอบอะไรไม่ได้ ไม่น่ากลัวเท่าการไม่ได้ทดลองทำสิ่งที่เราสนใจ ถ้าน้องๆ สนใจในคณะทางศิลปะไม่ว่าสาขาไหน การทดลองทำและให้เวลากับมันเป็นเรื่องสำคัญ อาจจะต้องเหนื่อย ต้องใช้ความพยายาม เพราะน้องจะเจอทั้งสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ แต่ถ้าน้องอยากอยู่กับมันจริงๆ น้องจะรู้สึกถึงความสุขที่ปนมากับความเหนื่อยจากการทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ ซึ่งสิ่งที่เราพูดมามันเหนือไปกว่าพรสวรรค์ที่ติดตัวมากตั้งแต่เกิด เราเชื่อว่าความมุ่งมั่นและตั้งใจของน้องๆ มีค่ามากกว่าความโชคดี

 

(3) สุภัสสรา เล่ห์ประเสริฐ

นิสิตชั้นปีที่ 4 คณะศิลปกรรม ภาควิชาทัศนศิลป์ เอกประติมากรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ชื่อผลงาน : SUNSHINE CASTUS

แรงบันดาลใจในการสร้างผลงาน : เป็นช่วงที่ต้นกระบองเพชรฮิตในสังคมวัยรุ่นในการปลูกต้นกระบองเพชร จึงอยากลองศึกษาเกี่ยวกับต้นกระบองเพชรในสายพันธุ์ต่างๆ ได้รู้ว่ามันมีสายพันธุ์มากมายที่เกิดขึ้น และมีองค์ประกอบของแต่ละสายพันธุ์ที่ให้ความรู้สึกว่า มันมีความสดใสมากๆ ไม่ได้แห้งแร้ง จึงอยากจะเสนอลักษณะของต้นกระบองเพชรในมุมมองของตัวเอง เน้นการใช้สีที่สดใส และได้นำรายละเอียดเล็กๆ ของบางสายพันธุ์เข้ามาใส่เข้าไปด้วย จัดวางแบบเป็นกลุ่มคล้ายต้นกระบองเพชร

จุดเด่นของผลงาน : จุดเด่น คือ สีที่สดใส อยากให้คนอื่นๆ มองแล้วรู้สึกว่า นี่เป็นต้นกระบองเพชรที่น่ารักและสดใส มีชีวิตชีวา

ความยากง่าย อุปสรรคต่างๆ : ยากที่การเลือกใช้สีที่จะทำให้รู้สึกถึงความสดใส เพราะแนวคิดงานนั้น ต้องการที่จะสื่อถึงความสดใสของต้นกระบองเพชรออกมา และในการใช้สีที่มีความสดใสเยอะๆ จะเป็นปัญหาในเรื่องของสีที่ไม่เข้ากัน ก็จะต้องแก้ปัญหาในการดูคู่สีให้เข้ากัน ลองทาเป็นตัวอย่าง จนได้สีที่ต้องการจริง

ฝากถึงน้องๆ ที่สนใจ : น้องๆ ที่จะเข้าคณะนี้ และภาควิชานี้ ถ้าเรามีความขยัน ความพยายาม และความรับผิดชอบต่องานและเวลาได้ เราก็ไม่ต้องกังวลแล้วกับการใช้ชีวิตอยู่ในคณะนี้ ขยันฝึกฝนเยอะๆ เชื่อสิว่าผลมันดีกว่าที่น้องคิดอีก

อ๊อฟ-พรหมพิริยา คิงสถิตย์ ศิลปินหนุ่มผู้มีแนวคิดไม่เหมือนใครและมีผลงานโดดเด่นถึงต่างแดน

หรือที่รู้จักกันในนามของ “AOF SMITH” กับเส้นทางกว่าจะเป็นจิตรกรสายอาชีพ ทั้งชีวิตที่ผูกพันกับเส้นสายลายฝันแห่งศิลปะ พร้อมคำแนะนำสู่น้องๆ ศิลปินรุ่นต่อๆ ไป

INSPIRATION

อ๊อฟ สมิธ กับการเติบโตขึ้นมาจากครอบครัวศิลปะ ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ พี่ชายและพี่สาว ที่หล่อหลอมใจรักในงานศิลป์ตั้งแต่เด็กๆ จากเด็กที่วาดรูปไม่เก่ง แต่ความอยากเอาชนะความคาดหวังของคุณพ่อ เลยกลายเป็นความสนใจอย่างจริงจัง จนพาตัวเองเข้าไปเรียนในคณะชื่อดังทางศิลปะของจุฬาฯ ได้พบความสนุกสนานในบรรยากาศของเด็กสายติสท์ และก็ทำให้ตัวเองได้ค้นพบเส้นทางงานเพ้นท์ติ้งที่ต่อยอดสู่สายอาชีพมาจนถึงปัจจุบัน

IMPORTANT IN A CAREER

“ด้วยความที่โตมากับครอบครัวศิลปะ คุณพ่อจบเพาะช่าง แล้วก็รับราชการเป็นครูสอนศิลปะอยู่แล้ว ก็เริ่มสอนเราตั้งแต่เด็กๆ แต่ตอนเด็กเราวาดรูปไม่เก่ง โดนคุณพ่อบ่นบ่อยๆ คุณพ่อคาดหวังอยากให้วาดรูปเก่ง แต่คือเรื่องพวกนี้ไม่สามารถเทรนด์ได้ทั้งชีวิต มันขึ้นกับตัวเราว่าเราชอบแล้วอยู่กับมันได้นานมั้ย แล้วผมก็ค้นพบว่าการวาดรูปเป็นสิ่งที่ผมสนใจ และอยู่กับมันได้นาน ก็เลยตัดสินเข้าไปเรียนในคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ สาขาทัศนศิลป์ ซึ่งก็สนุกมาก ในยุคที่จุฬาฯ ยังคาบเกี่ยวระหว่างความศิวิไลซ์ ก็ทำให้เราได้มีโอกาสปาร์ตี้จุดไฟเฮฮากันหน้าคณะ เอนจอยกับชีวิตมหา’ลัยค่อนข้างเยอะ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีวินัยกับการเรียนพอสมควร เราได้ความรู้จากอาจารย์ ได้เพื่อนที่คุยกันได้ทุกเรื่อง แล้วปี 3 ก็ได้เลือกเอกเพ้นท์ติ้ง ซึ่งทุกอย่างก็กลายมาเป็นหลักวิธีคิดที่ทำให้เราดำเนินชีวิตต่อได้อย่างแข็งแรงจนถึงปัจจุบัน พอช่วงเรียนจบใหม่ๆ ได้ทำงานที่แรกเป็นสไตลิสต์ อยากลองประสบการณ์ว่าจะเป็นยังไง สุดท้ายแล้วมันก็ตอบโจทย์ว่าไม่ใช่ทาง เราก็ออกมาจากตรงนั้น มาตั้งเป้าเรียนต่อปริญญาโทที่ลาดกระบังฯ จนเรียนจบที่นี่แหละที่ทำให้เราได้วิธีคิดในการทำงานและสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น จากตรงนั้นได้ลองทำ SOLO EXHIBITION และมันก็ต่อยอดขยับขยายไปเรื่อยๆ ทำให้เราตั้งเป้าว่าจะต้องมีโชว์หนึ่งครั้งในปีหนึ่ง ระหว่างนั้นก็หาโอกาสใหม่ๆ ให้ตัวเองไปด้วย ไปลองประกวดในต่างประเทศ ถือเป็นรางวัลให้ชีวิต ทำให้โลกเห็นงานของเราในสิ่งที่ถูกที่ถูกทาง อย่างมีงานประกวดที่ได้ตีพิมพ์ลงDirect Art Magazine ที่นิวยอร์ก ก็ถือเป็นหนึ่งรางวัลที่เราดีใจกับมัน เพราะมองย้อนกลับไปตอนเรียนป.ตรี หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มแรกที่อาจารย์เปิดให้เราดูตอนเรียน เราได้เห็นสไตล์ของงานในนี้พอผ่านมา 6-7 ปี ได้มีโอกาสลองส่งดูแล้วก็ได้ อย่างที่อาจารย์เคยให้ดูเป็นแรงบันดาลใจ สำหรับเป้าหมายในงานของตัวเองตอนนี้คือการทำคอนเท้นท์ใหม่ๆ ที่ท้าทายมากขึ้น ค่อยๆ ขยับไปทำแกลเลอรี่ในต่างประเทศมากขึ้น วงการศิลปะทั่วโลกมันกำลังเปิดกว้างและกระจายตัวแล้วเราเชื่อว่ามนุษย์ถ้าจะสนุกกับชีวิต มันต้องมีการเดินทางใหม่ๆ ความท้าทายใหม่ๆ ที่ไม่ซ้ำซากจำเจ”

HOW TO WORK

เมื่อใจรัก ทุกอย่างก็ไม่มีอะไรยาก

“คนมองว่ากว่าจะทำงานศิลปะออกมาชิ้นหนึ่งมันต้องใช้เวลา ใช้ความอดทน แต่เราไม่ได้คิดว่ามันยาก เราเชื่อว่าทุกอาชีพมันยากหมด แต่เมื่อไหร่ที่เราตั้งว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันยาก ก็จะไม่แฮปปี้กับมัน อยู่ที่ความถนัดของแต่ละคนมากกว่า อย่างอุปสรรคที่เกิดขึ้นเราก็ต้องทำความเข้าใจกับมันว่า ทุกอย่างต้องเจอปัญหาและแก้ไขมันไป เมื่อไหร่ที่เจอปัญหาและแก้ไข ก็เป็นสิ่งที่ดีกับชีวิตที่ทำให้เราได้เจอโลกมากขึ้น เมื่อเราเจอปัญหาซ้ำๆ เรื่องเดิมๆ ก็จะทำให้เรารู้ว่าเราจะแก้ไขมันยังไง”

แรงบันดาลใจในผลงานแต่ละชิ้นที่ออกมา

“เป็นคนชอบฟังข่าวมาก ข่าวทุกอย่าง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม เปิดฟังอย่างเดียว แต่ไม่ได้ดูมัน เพราะคิดว่าการดูจะทำให้มันถูกวิเคราะห์ไปอีกแบบหนึ่ง แต่เมื่อใดที่เราฟัง การวิเคราะห์จะถูกตีไปอีกแบบ แล้วมันจะทำให้เราได้ตระหนัก ได้ตั้งคำถามกับมัน กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เรื่องนั้นสามารถมาเป็นประเด็นได้ ถ้าเราสนใจมันจริงๆ ความสนุกในงานศิลปะก็คือการได้ตั้งคำถามที่มันไม่มีคำตอบ มันเหมือนโจทย์ที่สังคมหรือโลกเราไม่สามารถหาคำตอบให้กับเรื่องนี้ได้ มันมีทั้งบวก ทั้งลบ ทั้งดีจริง ไม่ดีจริง คือการวิเคราะห์พวกนี้ทุกอย่างมันไหลออกมาเรื่อยๆ มันมีคอนเซ็ปต์ที่อยากจะทำอยู่แล้ว จนบางครั้งเราต้องหยุดความคิดเพื่อคัดกรองงานที่มันไหลออกมาว่ามันดีจริงเหมาะสมมั้ยที่จะทำออกมาเป็นชิ้นงาน”

ผลงานศิลปะ “SILENT RAVAGE”

“กับนิทรรศการล่าสุดที่เพิ่งจัดแสดงที่ ศุภโชค ดิ อาร์ต เซนเตอร์ (S.A.C) ในชื่อ “SILENT RAVAGE” มาจากการมองภาพการถูกทารุณกรรมของสัตว์เลี้ยงในครัวเรือน มันเหมือนเป็นสงครามเงียบ ที่บางทีเราไม่สามารถเข้าไปรับรู้ ไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึง มันตระหนักถึงจิตใจของมนุษย์ที่เสื่อมถอยลงไป สัตว์เลี้ยงที่คุณเลือกมาในวัยเด็กที่มันดูน่ารัก แต่พอโตขึ้น คุณก็แกล้งหรือทำร้ายมัน ประเด็นเหล่านี้ผู้คนก็ให้ความสนใจค่อนข้างเยอะ เลยต้องการสื่อออกมาในรูปแบบของ ความตลกร้าย มันมีแก๊กบางอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้กับมนุษย์ที่ทำกับสัตว์ อย่างเช่นข่าวคนเอาแมวมาตากกับราวตากผ้าให้ลมมันตีไปตีมา มันสะท้อนถึงสังคมตลกร้าย ที่เรารู้สึกมันไม่ตลก”

 

THINKING TO CAMPUS

“อยากฝากถึงน้องๆ จะเป็นอะไรก็ได้ที่ชอบ เป็นเกษตรกรก็ได้ ก็ทำที่ชอบ แล้วทำให้มันดี ทำอะไรก็ได้ แล้วสนุกกับมัน อย่าทำอะไรที่เครียด ไม่สนับสนุนเลย อยากร้องเพลงก็ฝึกร้องเพลง อยากวาดรูปก็ฝึกวาดรูป ง่ายมาก ไม่มีอะไรยาก ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดที่บางทีมันสูงส่งว่าเฮ้ย มันต้องอย่างงั้นอย่างงี้ มันต้องแลกด้วยพลังหรือจิตวิญญาณของคุณ เพื่ออะไร ก็แค่ลงมือทำ ไม่มีทริคอะไรให้ใครทั้งนั้น ทุกอย่างอยู่ที่ความพยายาม ความตั้งใจ และผลของงานล้วนๆ อย่างการที่ได้จัดแสดงนิทรรศการที่ผ่านมาก็ทำให้เราได้คุยแลกเปลี่ยนกับนักศึกษาคนรุ่นใหม่มากขึ้น และคิดว่าส่วนนี้มันสำคัญมาก เราเชื่อว่า เรายังมีคนรุ่นใหม่อยู่ในเจนใกล้ๆ กันที่เหมือนเป็นแรงเคลื่อนของประเทศต่อไป ประชากรของประเทศที่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิดและทำ เชื่อในศักยภาพคนหนึ่งที่สามารถทำงานได้ดีพอ ไม่ว่าจะในงานไหนก็ตาม เพราะถ้าไม่เชื่อในศักยภาพ ไม่เชื่อในความคิดตัวเอง มันก็จบลงไปในท้ายที่สุด เด็กปัจจุบันนี้ชอบทำอะไรหลายอย่างค่อนข้างเยอะ แต่อยากให้ Concentrate ส่วนที่ชอบที่ตรงกับใจ แล้วทำให้มันดีพอ แล้วเราจะเจอความสุขตรงนั้นจริงๆ”

 

 

 

 

 

โตเป็นหนุ่มแล้ว น้องปราบ ลูกชาย สู่ขวัญ บูลกุล

ตอนนี้คุณแม่ สู่ขวัญ บูลกุล กำลังฮอตกับผลงานพิธีกรนิตยสารแพรว ที่เธอจะพาชมเสื้อผ้าแฟชั่นมากมาย พร้อมกับวลีฮิตที่ว่า #ของมันต้องมี วันเลยขอพาทุกคนไปส่องภาพลูกชายสุดรักของคุณแม่สู่ขวัญกันบ้าง นั้นก็คือ น้องปราบ บูลกุล ที่ตอนนี้เริ่มโตเป็น หนุ่มอายุ 12 ปีแล้ว โอ้ว้าว!! มีลูกชายโตเป็นหนุ่มขนาดนี้ แต่คุณแม่ยังสวยไม่เเปลี่ยน

น้องปราบ บูลกุล เป็นลูกชายของคุณแม่ สู่ขวัญ บูลกุล และคุณพ่อ โชค บูลกุล ทายาทของนายโชคชัย บูลกุล เจ้าของฟาร์มโชคชัย ปัจจุบันน้องปราบ อายุ 12 ปี

ที่มาภาพจาก IG : @suquanbulakul