ไขข้อสงสัย เที่ยวต่างประเทศ ขาเข้า-ออก สิ่งของไหนบ้างต้องสำแดง??

เที่ยวต่างประเทศ ขาเข้า-ออก
สิ่งของไหนบ้างต้องสำแดง??

หลังจากอิ่มเอมกับการ เที่ยวต่างประเทศ อย่างสุขกายสบายใจ ปิดจ๊อบการซื้อของฝาก และของชอบส่วนตัวเรียบร้อย แต่!! เพื่อนๆ รู้ไหมว่า ของเหล่านั้นใช่จะว่าหอบหิ้วกลับมาเท่าไหร่ หรืออยากครอบครองกี่ชิ้นก็ได้ตามใจชอบนะคะ เพราะทันทีที่เราลงเครื่อง จะต้องผ่านการตรวจจากด่านศุลกากรก่อน ซึ่งนั่นก็เป็นปัญหาคาใจใครหลายคน ถกเถียงกันมายาวนาน ว่า เอ๊ะ?? สินค้าที่เราหิ้วมาเมื่อผ่านศุลกากร ต้องเสียภาษีไหม? ต้องเข้าช่องสำแดงรึเปล่า? งั้นวันนี้เรามาไขข้อข้องใจนี้ไปพร้อมๆ กัน เริ่มตั้งแต่ระเบียบการหิ้วสัมภาระและสิ่งของออกนอกประเทศเลยค่ะ

กรณีเดินทางออกนอกประเทศ

หากต้องการพกของใช้ส่วนตัวออกนอกประเทศ ซึ่งมีมูลค่ารวมกันเกิน 20,000 บาท ตลอดจนแก็ตเจ็ตต่างๆ เช่น กล้องถ่ายวีดีโอ กล้องถ่ายรูป โน๊ตบุค แล็ปท็อป อัญมณีและเครื่องประดับ ฯลฯ ตามระเบียบศุลกากรต้องแจ้งเจ้าหน้าที่และลงทะเบียนสิ่งของต้องสำแดงก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เพื่อสิทธิในการยกเว้นภาษีอากร

ด้วยการลงทะเบียนหมายเลข serial numbers หรือ ลักษณะอื่นๆ ของสิ่งของนั้น เช่น ลักษณะเด่น รอยตำหนิ รูปพรรณ ณ ที่ทำการศุลกากรขาออกนอกประเทศ หลังตรวจรับ boarding pass แล้ว

ทั้งนี้เฉพาะกรณีที่พกของสิ่งนั้นติดตัวไปเป็นจำนวนมาก เช่น พกกล้องไป 4 ตัว เลนส์อีก 4 ชุด หรือโทรศัพท์อีก 5 เครื่อง จนเป็นที่น่าสังเกต อย่างนี้ก็ควรสำแดง แต่ถ้ามีจำนวนน้อยชิ้นก็ไม่จำเป็นต้องสำแดงก็ได้

ส่วนเรื่อง เงินสด (บาท) อนุญาตให้นำออกไปนอกประเทศได้ ครั้งละไม่เกิน 50,000 บาท ยกเว้นประเทศที่มีพรมแดนติดกับประเทศไทย เช่น ลาว เมียนมา เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย สามารถนำออกไปได้ไม่เกิน 500,000 บาท

***********************************************

กรณีเดินทางเข้าประเทศ

เมื่อคุณเดินทางกลับเข้ามาประเทศไทย สัมภาระที่คุณหิ้วมา จะต้องผ่านการตรวจด้วยเครื่อง X-ray ตามหลักมาตรฐานสากล ด่านศุลกากร โดยแบ่งช่องตรวจออกเป็น 2 ช่อง คือ ช่องเขียว กับ ช่องแดง

– ช่องที่ไม่มีสิ่งของต้องสำแดง (Nothing to Declare) หรือ ช่องสีเขียว สำหรับผู้โดยสารที่มั่นใจว่าไม่มีสิ่งของต้องเสียภาษีอากร ก็เดินตัวปลิวเข้าช่องนี้สบายๆ มีรายละเอียดดังนี้

  1. มีของใช้ส่วนตัว ต่อ 1 คน ที่มีมูลค่ารวมกันทั้งหมดไม่เกิน 2 หมื่นบาท (ไม่ใช่ ของต้องห้าม ของต้องกำกัด เสบียงอาหาร หรือเพื่อการค้า)
  2. บุหรี่ไม่เกิน 200 มวน หรือ ยาสูบไม่เกิน 250 กรัม หรือน้ำหนักรวมทั้งหมดทุกประเภทไม่เกิน 250 กรัม
  3. ของใช้ในบ้านเรือนที่ผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเนื่องจากย้ายภูมิลำเนาโดยซื้อจากร้านค้าปลอดอากร (Duty Free) ที่ตั้งอยู่ในสนามบินศุลกากร มีราคารวมกันไม่เกิน 50,000 บาท
  4. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปริมาตร ไม่เกิน 1 ลิตร
  5. นำเงินตราต่างประเทศเข้าได้ไม่เกิน 2 หมื่น US หรือ เทียบเท่า

** ของต้องกำกัด หมายถึง ของที่จำเป็นจะต้องทำการขออนุญาตจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ และมีใบอนุญาตินำเข้า หรือส่งออก

** ของต้องห้าม หมายถึง ของที่ห้ามไม่ให้นำเข้ามา หรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร

ส่วนใครที่ไม่ได้เป็นไปตามข้อมูลเบื้องต้น ก็ต้องเดินเข้าช่องสีแดงอย่างเลี่ยงไม่ได้นะจ๊ะ

– ช่องมีสิ่งของต้องสำแดง (Goods to Declare) หรือ ช่องแดง สำหรับใครที่ลงทะเบียนสิ่งของสำแดงไว้ก่อนออกเดินทาง หรือ ใครที่มีสิ่งของต้องชำระภาษีอากร ของต้องห้าม ของต้องกำกัด หรือไม่แน่ใจว่าสิ่งของที่นำเข้ามานั้น ต้องเสียภาษีหรือไม่ โดยมีคุณลักษณะดังนี้

  1. ของใช้ส่วนตัวที่มีปริมาณเกินกว่าที่จะใช้สำหรับส่วนตน และ/หรือมีมูลค่ารวมกันเกิน 2 หมื่นบาท
  2. กระเป๋า-นาฬิกาแบรนด์เนมราคาเกิน 20,000 บาท ต้องชำระภาษี
  3. ของฝาก ของที่ระลึก ไม่ถือว่าเป็นของใช้ส่วนตัว หากมีจำนวนมูลค่ารวมกับของใช้ส่วนตัวแล้วเกิน 2 หมื่นบาท ต้องเสียภาษี
  4. ของที่นำมาเพื่อทำการค้าแม้ว่าจะไม่ถึง 2 หมื่นบาท แต่หากมีเจตนาเพื่อเอาไปขายต่อ ก็ต้องสำแดงด้วย
  5. “ของต้องกำกัด” เช่น พระพุทธรูป ก็ต้องมีใบอนุญาตจากกรมศิลปากร,  อาวุธปืน ก็ต้องมีใบอนุญาตจากกรมการปกครอง หรือ กระทรวงมหาดไทย, บุหรี่ ยาสูบ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยกรมสรรพสามิต ฯลฯ
  6. “ของต้องห้าม” เช่น  สารเสพติด สื่อลามก ของลอกเลียนแบบา ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ปลอม สัตว์ป่าสงวน ฯลฯ
  7. เสบียงอาหาร อาหารเสริม เครื่องสำอาง ที่มีเยอะเกินพอสมควรสำหรับที่ตนเองใช้ เช่น เครื่องสำอางชนิดเดียวกันแต่มีหลายชิ้น จะไม่ได้รับการยกเว้นภาษี

ซึ่งหากใครตีเนียน หลีกเลี่ยง แกล้งไม่รู้หนูไม่เห็น แล้วเจ้าหน้าสุ่มตรวจเจอภายหลังล่ะก็ งานนี้ต้องเสียทั้งภาษีและค่าปรับเลยนะจ๊ะ มีบทลงโทษระบุไว้ชัดเจน คือ

  • ปรับ 4 เท่าของมูลค่าของ โดยบวกค่าภาษีและอากรแล้ว
  • จำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • ของที่หลีกเลี่ยงการชำระอากรต้องถูกริบเป็นของแผ่นดิน

คราวต่อไป หากเพื่อนๆ มีแพลน ไปเที่ยวต่างประเทศ ก็อย่าลืมปฏิบัติตามกฏระเบียบการสำแดงสิ่งของระหว่างเดินทางเข้าออกประเทศ ด้วยนะคะ จะได้ไปเที่ยวอย่างสบายใจ ไม่กังวลว่าจะทำผิดกฏหมาย และปิดทริปอย่างประทับใจ เป็นความทรงจำดีๆ ไปอีกนาน

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : suvarnabhumiairport, mushroomtravel, linethaitravel

12 ข้อดีของผู้ชายสะพายเป้ (backpack) ออกเที่ยว

การแบ็คแพ็ค (backpack) ท่องเที่ยว หลายคนอาจจะคิดว่าต้องลำบาก ทรหด กันใช่ไหมล่ะ แต่ถ้าเรารู้จักวางแผนเที่ยว-การเงิน รับรองว่าการไปเที่ยวสไตล์จะเป็นอะไรที่สนุกสุดๆ ได้ทั้งประสบการณ์ เพื่อนใหม่ เปิดโลกใหม่ๆ ยิ่งถ้าได้ไปกับแก๊งค์เพื่อนสนิทแล้ว มันเป็นอะไรที่สุดยอด! ถ้ายังไม่รู้ว่าการสะพายเป้เที่ยวนั้นดียังไง? ลองมาดู 12 ข้อดีของผู้ชายสะพายเป้ (backpack) ออกเที่ยว จากมุมมองของสาวๆ ที่หลงรักการเดินทาง กันหน่อยดีกว่า..

12 ข้อดีของผู้ชายสะพายเป้ (backpack) ออกเที่ยว

  1. นายโคตรเท่ห์เลยอ่ะ เวลานายแต่งตัวเซอร์ๆ ไม่ติดแบรนด์ แล้วสะพายเป้ใบใหญ่ แขวนกล้องไว้ที่คอ
  2. เฮ้ย!! นายกินง่ายอยู่ง่ายจัง ไม่เรื่องมาก ไม่น่าเบื่อ กินอะไรก็ได้ขอแค่ท้องอิ่ม นอนที่ไหนก็ได้ ขอแค่พรุ่งนี้มีแรงได้เดินทางต่อ
  3. บางทีนายก็เป็นนักวางแผนตัวยง อยากไปที่ไหนถามได้ตอบได้ แต่บางครั้งเวลานายไปไหนก็ไม่มีแพลนอะไรเลย ค่อยไปลุ้นเอาข้างหน้าว่าทริปนี้จะได้เจออะไรบ้าง นั่นมันตื่นเต้นดีนะ
  4. นายใจง่าย… ถ้าชวนนายไปไหนนายไปกับเราหมด ไม่ว่าจะมุดถ้ำ ดำน้ำ ปีนเขา เดินป่า ลำบากแค่ไหนนายก็ไป
  5. นายต้องเป็นคนใจกว้างแน่ๆ เพราะนายพร้อมที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา ทั้งมิตรภาพใหม่ๆ และประสบการณ์ใหม่ๆ
  6. นายกล้าตัดสินใจ มีความเป็นผู้นำ อยากไปไหนแค่บอกนาย นายจัดให้
  7. นายยืดหยุ่น รู้จักปรับตัว รับมือได้กับสิ่งที่ไม่เป็นไปตามแผน มีสติ ไม่ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เราพึ่งพานายได้
  8. นายเป็นคนมองโลกในแง่ดี มนุษย์สัมพันธ์เยี่ยม มีเพื่อนทั่วโลก คุยสนุก ยิ่งเรื่องเที่ยวนี่คุยกันได้ทั้งวันเชียว
  9. นายกล้าหาญนะ กล้าที่จะเผชิญโลกกว้าง กล้าไปในที่ต่างภาษาต่างวัฒนธรรม บางที่ที่ไปพูดภาษาไรกันก็ไม่รู้ แต่นายก็รอดมาได้อย่างปลอดภัย หูย.. นายเก่งอ่ะ

10.ชีวิตนายมีฝัน มีเป้าหมาย มีความพยายาม มันเลยทำให้ชีวิตนายดูไม่เรื่อยเปื่อย นายต้องวางแผนชีวิต วางแผนการเงินเก่งแน่ๆ

11.ธรรมดาแต่พิเศษ.. นั่นแหละนายเลย ในสายตาเราพวกนายเป็นคนบ้านๆ เซอร์ๆ ติดดิน แต่ชีวิตพวกนายนี่สิที่พิเศษ นายเห็นโลกมากกว่าคนอื่น ชีวิตนายมีเรื่องราว มีเรื่องเล่ามากมาย เพราะการใช้ชีวิตธรรมดาสำหรับนายมันคงง่ายเกินไป

12.นายหาตัวเองเจอ นายรู้ว่าสิ่งไหนที่ทำให้นายมีความสุข ในเมื่อนายมีความสุข นายต้องแบ่งปันความสุขมาให้คนข้างกายได้แน่ๆ

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก facebook Travel Together / คนเดินทาง

ขอบคุณรูปภาพจาก www.insurancehotline.com

12 Cafe Hopping in BKK คาเฟ่หลากสไตล์ในกรุงเทพฯ

ด้วยร้านกาแฟที่เกิดขึ้นมาใหม่แบบวันต่อวัน คำว่า “Cafe Hopping” จึงเกิดขึ้นกับสายคาเฟ่ คนที่ชื่นชอบการเข้าร้านกาแฟเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นร้านที่โด่งดัง ร้านเพิ่งเปิดใหม่ หรือร้านที่อยู่ตามซอกตามซอย ที่ไหนตกแต่งสวยๆ ชาว Cafe Hopping ก็จะตามไปถ่ายรูป Instagram ให้ได้ แฟนเพจ เที่ยวรัวรัว ได้รวบรวมคาเฟ่เด็ดๆ ในกรุงเทพฯ ให้เหล่าสายคาเฟ่ตามไปเช็คอินกันค่ะ

12 Cafe Hopping in BKK คาเฟ่หลากสไตล์ในกรุงเทพฯ

  1. “ชวนพิศมัย” Chuanpisamai Cafe’

จากบ้านพักในย่านอารีย์สัมพันธ์ ถูกปรับเปลี่ยนตกแต่งใหม่เป็นคาเฟ่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่หอมหวลชวนฝัน สไตล์วินเทจใช้สีโทรพาสเทลอ่อนๆ สร้างบรรยากาศให้ร้านโดนรวมดูอบอุ่น และเป็นมิตรกับแขกที่มาเยือน…

การได้มานั่งชิวในช่วงบ่ายๆนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งจิบชาสไตล์อังกฤษ อยู่กลางสวนเล็กๆ ในบ้านทำนองนั้น… ภายในร้านมีหลายมุมให้เราได้เลือกนั่งค่ะ แต่ละมุมมีการตกแต่งที่แตกต่างกันไป ใช้วัสดุที่หลากหลายมา mix & match คุมโทนได้เป็นอย่างดี มีทั้งโซนเทอเรสหน้าบ้าน โซนที่นั่งริมทางเดิน และโซนที่นั่งภายในบ้าน และที่นี่ยังมีร้าน wedding studio เล็กๆ อีกด้วย เจ้าสาวแนววินเทจน่าจะต้องถูกใจอย่างแน่นอน

ที่ Chuanpisamai Cafe มีทั้งอาหารคาว อาหารหวาน และเครื่องดื่มให้บริการ โดยน้องพนักงานจะเอาเมนูมาให้และรับออเดอร์จากที่โต๊ะเลยค่ะ ไหนๆ ก็มาเยือนในบรรยากาศยามบ่ายหลังทานข้าวกลางวันเสร็จ เลยขอจัดน้ำชาและขนมมาทานเบาๆ

วันนี้สั่งชากุหลาบเย็น ชา Earl Grey และขนมที่เป็น signature ของร้านนี้ก็คือ CHUAN-MAI แพนเค้ก ที่ตกแต่งด้วยขนมสายไหมสีสวยๆ ผลไม้ และไอศกรีมสตรอว์เบอร์รี่ หน้าตาสวยงาม น่าทาน อร่อยใช้ได้ค่ะ เมนูนี้ราคา198 บาท

สิ่งที่ชอบมากๆ ก็คือร้านนี้เก็บทุกรายละเอียดจริงๆค่ะ แม้แต่จานช้อน ยังคงคอนเซ็ปท์ความวินเทจ
เรียกได้ว่า “ชวนพิศมัย” ตลอดเวลาที่อยู่ในร้านเลยทีเดียว…

สำหรับใครที่ชอบใช้เวลาว่างๆไปกับการนั่งชิวที่คาเฟ่ หรือหามุมถ่ายรูปสวยๆ ที่นี่เป็นอีกที่ที่น่าสนใจค่ะ

การเดินทาง ร้าน Chuanpisamai Cafe ตั้งอยู่ในซอยอารีย์สัมพันธ์ 7 (ปากซอยคือร้านปลาดิบ) ซอยตรงข้ามกับกรมประชาสัมพันธ์ พอเข้าซอยมาประมาณ 200 เมตร จะเจอร้านอยู่ทางขวามือค่ะ
เปิด 10.30-21.00 น. (ปิดวันจันทร์)

ปล. ที่นี่ที่จอดรถหาค่อนข้างยากมากค่ะ แนะนำว่าถ้าไม่นำรถมาได้จะดีกว่า

——————————–

  1. N10 Cafe’

คาเฟ่ริมน้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ในซอยฝั่งวังหลังค่ะ หากใครคุ้นเคยกับตลาดวังหลังเป็นอย่างดีก็น่าจะได้เคยเดินผ่านกันบ้าง แต่ถ้าใครยังไม่เคยไป ว่าง่ายๆ ร้านนี้อยู่ในซอยเล็กๆที่ขนานกับแม่น้ำเจ้าพระยานั่นแหละค่ะ ผู้คนจะพลุกพล่านหน่อยเพราะแถววังหลังนี้ทั้งของกิน ของขายเพียบบบ

ร้าน N10 Cafe’ ตั้งอยู่ที่ชั้นล่างของ Baan Wanglang Riverside ค่ะ ถ้าเห็นชื่อโรงแรมนี้เมื่อไหร่ก็จะเจอกับร้านนี้เลย โดยภายในร้านจะมีโซนที่นั่งทั้งด้านในและด้านนอกริมแม่น้ำค่ะ… และไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่จะเลือกนั่งด้านนอก… ยิ่งในช่วงแดดร่มลมตกแล้วละก็ คนแน่นเลยค่ะ…

เป็นอีกหนึ่งร้านที่แอดชอบเป็นการส่วนตัว เพราะเป็นคนชอบอยู่ริมแม่น้ำไรงี้… ได้นั่งพักผ่อน ปล่อยอารมณ์ไปเพลินๆ มองไปฝั่งตรงข้ามก็จะเห็น landmark มากมายเช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่ามหาราช วัดพระแก้ว และสะพานพระราม 8 ที่นี่มีบริการทั้งเครื่องดื่มและขนมให้เลือกเยอะค่ะ ราคาก็จัดอยู่ระดับกลางๆไม่โหดมาก แอดสั่งเครื่องดื่มไป 2 แก้ว ราคารวม 150 บาท แลกกับวิวแบบนี้ จัดว่าคุ้ม!!

และนอกจาก N10 Cafe’ แล้วที่ Baan Wanglang Riverside ยังมีร้านอาหารไทยอยู่ที่ชั้น 2 ชื่อว่า ต้นมะกอก Tonmakok อร่อยดีแอดไปลองทานมาแล้ว ให้เป็นร้านรับแขกบ้านแขกเมืองได้เลย แต่ราคาก็จะสูงนิดนึง… และที่ดาดฟ้าของที่นี่ก็ยังมีบาร์ที่ฮิตมากๆ ก็คือ 342 Bar นั่นเอง สรุปคือมาที่เดียวทานได้ทั้งอาหารคาว ของหวาน และปิดท้ายด้วยดื่ม ฟินไปรัวรัวค่ะ

ที่นี่ไม่มีที่จอดรถนะคะ ต้องหาที่จอดจากด้านนอก แอดเลือกที่จะจอดที่อาคารจอดรถของวัดระฆังฯ แล้วเดินเข้าซอยเรียบแม่น้ำมาไม่ไกลค่ะ (แวะไหว้พระก่อนก็ยังได้)
เปิดทุกวัน 100 – 20.00 น.

——————————–

  1. “Little Hide Out Cafe & Bakery”

ร้านคาเฟ่เล็กๆ สไตล์อบอุ่นเหมือนนั่งทานอยู่ที่บ้าน (เพราะร้านนี้อยู่ในบ้านจริงๆ!) ด้วยบรรยากาศที่ร่มรื่น เต็มไปด้วยต้นไม้รอบๆ ตกแต่งด้วยโต๊ะไม้ ลงตัวสุดๆ ภายในร้านมีที่นั่งแบ่งเป็นหลายโซนค่ะ

โต๊ะในบ้านเหมือนนั่งในห้องรับแขกตากแอร์เย็นๆ โต๊ะหน้าบ้านเหมือนนั่งชิวๆลมโกรก เม๊ามอยกับเพื่อนๆ และ… โต๊ะหลังบ้านเหมือนนั่งอ่านหนังสือเพลินๆ ติวหนังสือกับเดอะแก๊งค์

บอกเลยว่าทุกมุมน่านั่งหมดเลยล่ะ เลือกไม่ถูกเดินเลือกอยู่สองรอบ 555 ไปจบที่หลังบ้าน…
ส่วนเมนูขนมวันนี้ที่สั่งมาก็คือ Classic Scone แยมสตรอเบอร์รี่ อุ่นๆอร่อยค่ะ

ร้านตั้งอยู่ปากซอยฉิมพลี จากเส้นบรมราชชนนี (ฝั่งขาเข้า) เลี้ยวซ้ายเข้าถนนราชพฤกษ์ ประมาณ 500 เมตร ซอยจะอยู่ซ้ายมือเลย (อย่าเผลอขึ้นสะพานนะ เลยแน่ๆ) ส่วนที่จอดรถ แปะได้หน้าร้านนะคะ

  1. “Blue Whale Bangkok”

บริเวณท่าเตียนตอนนี้เต็มไปด้วยคาเฟ่ ร้านอาหารสวยๆเยอะแยะมากมายค่ะ แต่ที่สะดุดตามากๆก็คือ คาเฟ่ตึกแถวหนึ่งคูหาบรรยากาศ old town ถนนมหาราช ที่ตกแต่งร้านด้วยบรรยากาศใต้ท้องทะเลสีฟ้าคราม มีปลาวาฬสีน้ำเงินเป็นสัญลักษณ์ประจำร้าน

ร้านนี้อาจจะมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก มีที่โต๊ะนั่งอยู่ประมาณ 10 โต๊ะเห็นจะได้ มีที่นั่งอยู่บนชั้น 2 ที่มีระเบียง และชั้นลอยที่มีโซนที่นั่งแบบญี่ปุ่น (ถอดรองเท้านั่งพื้น)
อย่างที่บอกไปว่าบรรยากาศภายในร้านถูกตกแต่งด้วย theme ใต้ทะเล เราเลยเหมือนได้เดินเข้าไปในโลกแห่งสีฟ้า ร้านตกแต่งได้ดูอบอุ่นและผ่อนคลาย มีภาพ painting ปลาวาฬอยู่หลายจุดย้ำตัวตนของร้าน…

เมื่อเข้าไปถึงจะเจอกับเคาเตอร์สั่งอาหารและเครื่องดื่มก่อนเลยค่ะ… วันนี้มาชิวๆทานเบาๆเลยสั่งแค่น้ำและขนมตามนี้
– Iced Butterfly Pea Latte ราคา 120 บาท อันนี้เป็นเมนูแนะนำเลยค่ะ เครื่องดื่มสีฟ้าลาเต้อัญชันหอมกลิ่นชินนามอน
– Iced Chocolate ราคา 100 บาท และ
– Pancake (Berry Crumble) ราคา 200 บาท
เมื่อสั่งแล้วเราก็จะได้เบอร์ แล้วก็ไปเลือกโต๊ะนั่งตามสบายเดี๋ยวจะมีพนักงานนำอาหารมาเสริฟให้ค่ะ
วันนี่เลือกนั่งที่ระเบียงชั้น 2 เพราะอากาศดีชิวมากๆค่ะ

ร้านเปิดเวลา 10.00-20.00 น. (ปิดวันพฤหัสบดี) แนะนำว่ามาเร็วหน่อยก็ดีนะคะ คนไม่เยอะมาก… เพราะเคยไปมาครั้งนึงแล้วช่วงบ่ายๆหน่อย โต๊ะเต็มต้องลงคิวไว้ยาวยืดเลยขอบาย ต้องกลับมาลองอีกทีวันหลัง สำหรับใครที่เป็นสายชิว สายนั่งคาเฟ่ น่ามาลองค่ะ ร้านสวยจริงๆไรจริง เก็บรายละเอียดทุก detail เลย เผื่อมาไหว้พระวัดพระแก้ว เที่ยวเล่นแถวมิวเซียมสยาม ก็แวะมาพักขาได้ที่นี่ค่ะ

ร้านอยู่บริเวณท่าเตียนค่ะ ตรงข้ามวัดโพธิ์ (ถนนส่วนบุคคล ซอยเพ็ญพัฒน์ 1)
ที่จอดรถค่อนข้างหายาก แนะนำให้มาโดยรถสาธารณะหรือจอดแถวๆราชนาวีสโมสร (ท่าช้าง) แล้วเดินมาค่ะ

  1. “โกปี๊ ยิ้มไถ้กี่ ณ เสาชิงช้า”

ร้านกาแฟโบราณบรรยากาศคลาสสิคสไตล์สภากาแฟที่ยังหาได้ในกรุงเทพ…ร้านนี้เปิดมากว่า 13 ปีแล้วค่ะ จริงๆแล้วร้าน original อยู่ตรงแยกวิสุทธิกษัตริย์ อันนั้นเปิดมานานกว่า 60 ปี

ที่นี่มีทั้งอาหารคาว ของหวาน และเครื่องดื่มชากาแฟ
วันนี้มาเดินเล่นตอนบ่าย เลยสั่งมาทานขำขำ คือ กาแฟสูตร 1 เย็น , โกโก้เย็น เพิ่มวิปครีมเพราะที่ร้านเชียร์สุดๆบอกว่าวิปครีมที่ร้านทำเองนะจ๊ะ หวานมันกำลังดี… แก้วละ 60 บาท
และอีกเมนูเบาๆทานเล่นยามบ่ายก็คือ “โรติม” คือ โรตี+ไอติม นั้นเอง แต่โรตีที่นี่ไม่ได้มาแบบแบนๆนาจา แต่เป็นโรตีร้อนๆ ฟูๆกรอบๆ เสริฟพร้อมไอติมวนิลลาและวิปครีม ราคาจานละ 129 บาท

นอกจากนี้ก็ยังมีเมนูอื่นๆ อีกมากมายนะคะ เมนูเล่มหนาเชียวล่ะ… จะทานแบบจิงจังหรือจะทานแบบชิวๆก็แล้วแต่สะดวกเลย ร้านนี้เป็นแบบ self-service นะคะ สั่งอาหารที่เคาเตอร์ บอกเบอร์โต๊ะ แล้วรอเรียก

ร้านอยู่ติดกับศาลาว่าการกรุงเทพฯ อยู่ต้นซอยสำราญราษฏร์
ถ้าใครขับรถมา แนะนำให้หาที่จอดข้างๆวัดสุทัศฯ นะคะ แต่ไม่เอารถไปดีที่สุด ! (เพราะที่จอดค่อนข้างหายาก) ทานร้านนี้เสร็จ แถวนี้มีร้านอื่นน่าสนใจอีกเพียบ…

  1. “PH1b Coffee Bar”

ร้านคาเฟ่ชิวๆ นั่งเพลินในซอยพหลโยธิน 11
มีทั้งเครื่องดื่มและขนมให้เลือกชิมมากมาย… มีโต๊ะให้นั่งพอสมควร ใครชอบแบบ lazy หน่อยๆก็โซนโซฟาได้เลยมี Wifi ให้ใช้ฟรีอีกต่างหาก


ภายในร้านตกแต่งได้ลงตัวค่ะ แนว industrial นิดๆ บวกกับงานไม้หน่อยๆมีภาพวาดที่มีชื่อร้านอยู่บนผนัง รวมๆแล้วแอดชอบบรรยากาศร้านนี้ค่ะ ไม่อึกอัดนั่งสบาย…

ราคาเครื่อมดื่มเริ่มต้นที่ 70 บาท ส่วนเค้กก็ 120 บาท (ราคาหลากหลาย) ใครเอารถมาจอดได้หน้าร้านและริมถนน (แต่ก็อาจจะหายากนิดนึงนะคะ)

ร้านเปิด 09.00-21.00 น.

  1. Inu Machi Cafe’

คาเฟ่น้องหมาย่านราชพฤกษ์ ที่มีน้องหมาชิบะอินุ และไซบีเรียน ฮัสกี้ กว่าสิบตัวให้เราได้เล่นด้วย…
ร้านคาเฟ่นี้มีขนาดไม่ใหญ่มากค่ะ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าน้องหมาแต่ละตัวไซส์ใหญ่ๆทั้งนั้นเลยทำให้ดูเต็มร้านไปหมด แต่ที่ชอบก็คือด้านหน้าร้านเป็นลานสนามหญ้ากว้างที่เราสามารถมาวิ่งเล่นกับน้องหมาได้ค่ะ

ที่นี่มีทั้งของคาว ของหวาน และเครื่องดื่มให้เราได้เลือกสั่ง… แต่สารภาพว่ามาคราวนี้แทบไม่ได้โฟกัสที่อาหารเท่าไหร่ เพราะอยากมาเล่นกับน้องหมาจริงๆ เลยสั่งมาทานขำขำแค่ Blue Lemon Soda , Hot Cappuccino และของทานเล่นอีกเล็กน้อย…

โดยกติกาของคาเฟ่นี้ก็คือ แขกที่มาทุกคนจะต้องเสียค่าบริการ 150 บาท แต่สามารถนำเงินจำนวนนี้ไปเปลี่ยนเป็นอาหารและเครื่องดื่มภายในร้านได้เต็มจำนวนค่ะ (ถ้าสั่งไม่ถึงก็ยังคงต้องจ่ายราคาเต็มอยู่ดีนะ) แต่ไม่สามารถคิดรวมกับราคาค่าขนมของน้องหมานะคะ และอีกหนึ่งกติกาที่สำคัญมากๆคือ ทางร้านขอความร่วมมือลูกค้าทุกคนไม่ใช้อาหารของคนหลอกล่อน้องหมาให้มาเล่นหรือถ่ายรูปนะคะ… ถ้าอยากให้น้องหมาทานขนมสามารถซื้อขนมสำหรับน้องหมาได้ที่เคาท์เตอร์ค่ะ โดยน้องๆพนักงานจะคอยเรียกๆน้องหมามาโชว์ตัวและเล่นกับลูกค้าเรื่อยๆด้วยค่ะ

บรรยากาศภายในร้านมีน้องหมาไซส์ XXL เดินเล่นกันขวักไขว่เลยค่ะ แอดอยากเล่นกับน้องหมาก็เลยซื้อขนมน้องหมามาถุงนึงราคา 60 บาท พอเห็นแอดซื้อขนมมาเตรียมจะป้อนเท่านั้นแหละ… น้องๆเดินตามก้นแอดรัวรัวเลย น่ารักจริงๆ

สำหรับใครที่เป็นทาสน้องหมา ลองแวะมาเล่นกันได้นะคะ แนะนำไปช่วงเย็นแดดไม่ค่อยร้อน มานั่งเล่นด้านหน้าร้านและสนามหญ้าได้ชิวๆค่ะ
ร้านเปิด 11.30-20.30 น. (ปิดวันพุธ)
ร้านอยู่ในซอยวัดอินทราวาส บนถนนราชพฤกษ์ค่ะ เข้าซอยมาประมาณ 200 เมตร

  1. “MoreNom : Magic Bar”

คาเฟ่ตกแต่งแหวกแนวย่านเพชรเกษม ให้ความรู้สึกเหมือนเดินเข้าไปอีกมิติที่มีความลึกลับชวนให้ค้นหา เหมือนมีเวทมนต์บางอย่างซ่อนอยู่… ภายในร้านตกแต่งด้วยโทน darkๆหน่อย มีต้นไม้ใหญ่อยู่ตรงกลาง… มีชั้นหนังสือโบราณ ตามผนังกำแพงก็ลงสีให้ดูเก่าๆ และออกแนวน่ากลัวนิดๆ ! (อารมณ์ประมาณในหนัง Harry Potter เห็นจะได้)

และสำหรับใครที่อยากแต่งตัวให้เข้ากับบรรยากาศร้าน ที่นี่เค้าก็มีคอสตูมชุดผ้าคลุมและหมวกแม่มด-พ่อมดให้ได้ใส่ถ่ายรูปได้ด้วย…แถมมีไม้กวาดให้ขี่ไปอี๊ก !! ในร้านค่อนข้างกว้างค่ะ มีโต๊ะเยอะพอสมควรเลย ที่นี่มีทั้งเครื่องดื่ม ของคาว และขนม ราคาเป็นมิตรมากๆ สั่งอาหารที่เคาเตอร์ได้เลย เดี๋ยวพนักงานมาเสริฟให้ถึงที่

ใครที่ชอบสรรหาคาเฟ่บรรยากาศแปลกๆใหม่ๆ ลองมากันได้ค่ะ
ร้านเปิดทุกวัน 11.00-22.00 น.
ร้านตั้งอยู่ในซอยเพชรเกษม 77/4 (ตรงข้ามมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์) เข้าซอยมาประมาณ 200 เมตรก็จะเจอร้านอยู่ทางซ้ายมือ เป็นตึกแถว 2 คูหา หน้าร้านดูแตกต่างเห็นชัดเจน
ปล. ที่นี่ที่จอดรถค่อนข้างน้อยนะคะ จอดหน้าร้านได้ประมาณ 3 คัน และหาที่จอดตรงอื่นยากค่ะ เพราะแถวนั้นเป็นโซนที่อยู่อาศัยซะส่วนใหญ่

  1. “Early Bird Gets Coffee”

ร้านคาเฟ่สไตล์โฮมมี่ สบายๆเหมือนทานอาหารที่บ้าน…บรรยากาศอบอุ่นของบ้านหลังใหญ่สีขาวที่ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ และตุ๊กตาตัวเล็กตัวน้อย… ภายนอกร้านมีพื้นที่สีเขียวมองออกไปสบายตา… มาถึงร้านนี้ทั้งนี้…ห้ามพลาดที่จะต้องถ่ายภาพกับเปียโนที่แสนจะ classic มีกำแพงอิฐเป็นฉากหลัง ที่ตั้งตอนรับลูกค้าทุกคนเมื่อเปิดประตูเข้าไปในร้านนะ

ร้านนี้มีครบทั้ง อาหาร ขนมหวาน และเครื่องดื่ม เรียกได้ว่ามาที่เดียวได้อิ่มแบบครบเลย…
อาหารที่ Early Bird Gets Coffee จะเป็นสไตล์ฟิวชั่นผสมผสานระหว่างอาหารฝรั่งบ้าง ไทยบ้าง จานนึงค่อนข้างใหญ่พอสมควรเลย จะสั่งมาแชร์กันก็กู๊ดไอเดีย ยกตัวอย่างให้น้ำลายไหลกันซักนิด… – ข้าวผัดกากหมู ปลากระพงราดซอส (ปลาชิ้นใหญ่มาก) – Indian Little Birdie Pizza พิซซ่าไก่สไตล์อินเดียแป้งบางกรอบ (อันนี้อร่อยมากขอบอก) – ข้าวซี่โครงหมูอบ (เนื้อหมูนุ่มชุ่มด้วยน้ำซอส) ส่วนของหวานก็มาเต็มไม่น้อยหน้า ไม่ว่าจะเป็น Panna Cotta ที่ใส่มาในจานไม้นกน้อยเกร๋ไกร๋ไม่เบา หรือจะเป็น French Toast จานใหญ่ที่ทานคนเดียวไม่หมดแน่นอน…

ใครอยากหาร้านบรรยากาศดีๆนั่งพักผ่อน ทานของอร่อยแบบที่ไม่ต้องดั้นด้นเข้าไปถึงกลางเมือง ร้าน Early Bird Gets Coffee น่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีทีเดียว…
เปิด 09.00-21.00 (ปิดวันจันทร์)
อยู่ในซอยงามวงศ์วาน 25 เข้าซอยไปไม่ไกลมากเลี้ยวซ้ายที่ แยก 3 ก็จะเห็นร้านเลยค่ะ

  1. AM•PER•SAND COFFEESTAND & DESIGN

ร้านคาเฟ่ในตู้คอนเทนเนอร์ ตั้งอยู่โครงการ The Bloc ราชพฤกษ์ ตกแต่งแบบ minimal cafe เท่ๆด้วยโทนสีขาว มองไปทางไหนก็สวย สะอาด สบายตา วัสดุที่เลือกใช้ทุกอย่างทำให้ร้านนี่ดูมี “ความแพง” เรียบง่าย แต่หรูเลยแหละ ชอบจุง!!! ร้านนี้มี 2 ชั้นคะ ชั้นบนเป็นที่นั่งชิวๆ

เครื่องดื่มและขนมที่นี่หน้าตาดีและรสชาติอร่อยใช้ได้เลยค่ะ วันนี้ลองสั่งช็อคโกแลตเย็น / Lemonade และขนม Cheese Cake & Biscuit ชอบทั้ง 3 อย่างนะ…ไม่ได้อวยแต่โอเคจริงๆ ส่วนราคาอาจจะสูงซักหน่อย…

แต่ทีเด็ดอยู่ที่ชั้นล่างของร้านนี่เลยค่ะ ถึงร้านจะถูกตกแต่งด้วยสีขาว…. แต่ก็ได้สีสันของ FREITAG นี่แหละ ที่เป็นอีกสิ่งดึงดูดให้มาที่นี่!! เพราะที่นี่เป็นเหมือนสวรรค์ของชาว “F-reitager” นั่นเอง!!
พื้นที่อาจจะไม่มากนัก แต่ที่นี่มีกระเป๋าเด็กแนวอย่าง FREITAG ให้เลือกเยอะมากกกกก มีหลายรุ่น หลายสี คือดีงาม เข้าไปเดินดูนี่ลายตาไปหมด… คือสาวกต้องไม่พลาดมาโดนนะ ดีงามมากจริงๆ

ร้านเปิด 07.00-20.00 น. (ปิดวันพุธ)
โครงการ The Bloc ราชพฤกษ์ (อยู่ฝั่งตรงข้ามกับ The Circle) ร้านอยู่มุมขวาด้านหน้าสุดเห็นชัดเลย จะมีสัญลักษณ์ “&” ชื่อร้านใหญ่มากๆ

  1. “Coffee GAPI” ร้านคาเฟ่ของ “กะปิ”

ร้าน Coffee GAPI คาเฟ่บรรยากาศเท่ห์บนพื้นที่กว้างขวาง มีหลายมุมให้เลือกนั่งสบายๆ ตกแต่งสไตล์ Industrial โมเดิร์นๆ แต่แอบผสมผสานความเป็นไทย ให้ความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย ร้านนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Hostel ที่ชื่อว่า A’Hostel Bangkok ค่ะ อยู่ที่ชั้นล่างเลย… ที่นี่ให้ความรู้สึกประมาณว่าหลบจากความวุ่นวายเข้ามานั่งพักชิวๆ ทำนองนั้น เพราะตั้งอยู่ในซอยที่ค่อนข้างจะเงียบสงบ

พระเอกของที่นี่ก็คือ “กะปิ” น้องหมาพันธุ์ French Bulldog สีน้ำตาล ที่จะคอยเดินทักทายต้อนรับแขกทุกคนที่เข้ามาในร้านค่ะ กะปิน่ารักมากกกกก เป็นมิตรนิสัยดี สร้างรอบยิ้มให้ทุกคน สรุปว่า “กะปิ” นี่เป็นเจ้าของร้านเลยไหมนี่??? 555

ที่ Coffee GAPI มีขนมและเครื่องดื่มให้บริการค่ะ วันนี้มาตอนบ่ายชิวๆ เลยจัดคาปูชิโน่ร้อน ช็อคโกแลตเย็น และ Scone 1 ชิ้น รวมราคา 150 บาทพอดิบพอดี ราคาเป็นมิตรมากๆๆๆๆค่ะ รสชาติก็โอเค ดีงามจริงๆ

เปิดทุกวัน 09.00-19.00 น.
ร้านตั้งอยู่ในซอยประดิพัทธ์ 20 เข้าซอยตรงมาเรื่อยๆ แล้วเลี้ยวขวาตรงเข้าไปสุดซอยก็ถึงเลยค่ะ (สังเกตป้าย A’Hostel) ซอยค่อนข้างเล็กหน่อยนะคะ ดูจังหวะรถสวนดีๆ
ที่บริเวณด้านหน้าร้านมีที่จอดรถค่ะ แถมร้านสุดท้ายสำหรับรีวิวนี้ ออกมาจากกรุงเทพนิดนึง แต่ก็ใกล้นิดเดียวแค่แถมติวานนท์นี่เองค่ะ

  1. “Lastberry”

ร้านคาเฟ่เล็กๆ บรรยากาศน่ารักในย่านติวานนท์ ร้านนี้ตกแต่งด้วยโทนสีอุ่นๆ สีน้ำตาล ไม้ๆ ดูสบายๆผ่อนคลายค่ะ

เปิด 07.00-18.30 น. (วันจันทร์-ศุกร์) 09.00-18.30 น. (วันเสาร์-อาทิตย์) หยุดวันพุธ
พิกัด Lastberry
ร้านตั้งอยู่ในซอยติวานนท์ 3 เข้าไปประมาณ 100 เมตร จะเจอร้านอยู่ทางขวามือ (สังเกตว่าจะอยู่ตรงข้ามกับ 7-11) เป็นตึกแถวคูหาริมสุด จะว่าไปร้านนี้ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีกระทรวงสาธารณสุขด้วยค่ะ

และนี่ก็คือทั้งหมดที่ “พี่หยอด” ได้ไป Café Hopping มาในช่วงที่ผ่านมาค่ะ มีหลากหลายสไตล์ หลากหลายบรรยากาศ ใครชอบแบบไหนก็ลองแวะไปดูนะคะ และถ้ามีที่ไหนแนะนำ “พี่หยอด” อีกก็อย่าลืมคอมเม้นกันไว้ด้วยน้า จะได้ไปตามรอยบ้างค่ะ

——————————————————————

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก เที่ยวรัวรัว