เที่ยวไต้หวัน เตรียมเสื้อผ้าอย่างไร ให้พร้อมทุกฤดู

เที่ยวไต้หวัน เตรียมเสื้อผ้าอย่างไร ให้พร้อมทุกฤดู

ไต้หวัน ยังคงเป็นท็อปฮิต destination ของนักเดินทางหลายคน แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่เหมือนกับไปเที่ยวประเทศอื่นๆ ก็คือ ควรแต่งตัวยังไงในแต่ละฤดูนี่สิ วันนี้เราจะมาจบปัญหานี้กัน เพราะเราจะพาทุกคนไปเตรียมเสื้อผ้าให้พร้อมก่อน เที่ยวไต้หวัน ซึ่งที่นี่มีทั้งหมด 4 ฤดูกาลด้วยกันค่ะ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว สภาพอากาศและการแต่งกายก็จะแตกต่างกันไป

ฤดูใบไม้ผลิ

สำหรับฤดูใบไม้ผลิไต้หวันนั้น เริ่มต้นในเดือนมีนาคม – เดือนพฤษภาคมค่ะ อุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ 16 และสูงสุดที่ 29 องศา แต่โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 25 องศา ค่ะ ถือว่าอากาศกำลังเย็นสบายๆ ไม่หนาวจนเกินไป ซึ่งในฤดูนี้จะมีดอกซากุระบานที่ อุทยานอาลีซาน (Alishan) ด้วยนะคะ ถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะกับการไปดื่มด่ำกับธรรมชาติที่ไต้หวันสุดๆเลยค่ะ

ขอบคุณรูปภาพจาก : eng.taiwan.net

แต่งตัวยังไงดีนะ ?

การแต่งตัวเที่ยวไต้หวันในฤดูใบไม้ผลินั้นไม่ยากค่ะ สามารถใส่เสื้อเชิ๊ตแขนสั้น รองเท้าผ้าใบ พร้อมกางเกงขายาว พร้อมเสื้อแจ็คเก็ต หรือเสื้มคลุมไม่หนามาก เอาไว้กันลมกันนิดนึงก็เพียงพอแล้วค่ะ

*******************************************************

ฤดูร้อน

ฤดูร้อนของไต้หวันจะเริ่มในเดือนมิถุนายน – เดือนกันยายน อุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ 25 และสูงสุดที่ 34 องศา โดยอุณภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 30 องศา เรียกได้ว่าร้อนแบบน้องๆ เมืองไทยเลยค่ะ และเป็นช่วงที่ฝนตกมากที่สุดของปี ทำให้มีสภาพอากาศร้อนชื้นค่ะ ซึ่งหากใครมาเที่ยวไต้หวันหน้าร้อน ขอแนะนำให้ตรวจสอบพยากรณ์อากาศกันให้ดี เพราะเดี๋ยวเจอฝนจะหมดสนุกเอาได้ค่ะ

กิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเลยคือการเที่ยวชมเมือง เพราะถ้าไม่มีฝนแล้วอากาศจะแจ่มใสที่สุด ฟ้าครามสวยเหมาะกับการถ่ายรูปวิวทิวทัศน์

แต่งตัวยังไงดีนะ ?

ดังนั้นการแต่งตัวเที่ยวไต้หวันในฤดูนี้สามารแต่งตัวเหมือนเราอยู่เมืองไทยได้เลยค่ะ ใส่เสื้อเชิ๊ตที่ระบายอากาศได้ดี สวมใส่สบาย คู่กับกางเกงขายาวที่ผ้าไม่หนามาก หรือกางเกงขาสั้นก็ได้ค่ะ พร้อมรองเท้ารัดส้นแบบชิดๆ และอย่าลืมพกแว่นกันแดดคู่ใจ พร้อมทาครีมกันแดดกันด้วยนะคะ ฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้เปลี่ยนสีก็มา…

*******************************************************

ฤดูใบไม้ร่วง

หลังจากผ่านมรสุมในหน้าร้อนมา อากาศก็เริ่มเย็นขึ้นในฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม – เดือนพฤศจิกายน โดยมีอุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ 19 และสูงสุดที่ 28 องศา แต่โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20 องศา อากาศเย็นๆ กำลังดี บรรยากาศจะเปลี่ยนจากสีเขียว เป็นสีส้มแดง โดยเฉพาะต้นเมเปิลที่มักจะมีอยู่ตามภูเขาและสถานที่ท่องเที่ยวเก่าแก่ หลายคนอาจจะเคยไปชมใบไม้เปลี่ยนสีของญี่ปุ่นกันมาแล้ว ขอบอกว่าต้องลองมาชมใบไม้เปลี่ยนไต้หวันสักครั้ง ต้องติดใจแน่นอน

แต่งตัวยังไงดีนะ ?

การแต่งตัวเที่ยวไต้หวันฤดูใบไม้ร่วงนั้น ขอบอกว่าต้องพกไอเทมกันหนาวกันมากขึ้นแล้วล่ะค่ะ เพราะอากาศเริ่มเย็นขึ้นแล้ว ดังนั้นหากมาเที่ยวไต้หวันในฤดูใบไม้ร่วง ก็อาจจะต้องติดเสื้อแจ็คเก็ตกันหนาวกันมาสักหน่อย หรือใส่เสื้อเชิ๊ต เสื้อยืดแขนยาว พร้อมกางเกงขายาว และรองเท้าผ้าใบ แค่นี้ก็ตะลุยไต้หวันได้

*******************************************************

ฤดูหนาว

ฤดูหนาวของไต้หวันจะเริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม ไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนเรื่องความหนาวเย็นของไต้หวันนั้น การันตีได้เลยว่า  ฟิน ไม่แพ้ประเทศอื่นๆ เลยค่ะ ในฤดูหนาวจะมีอุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ 18 องศา สูงสุดอยู่ที่ 24 องศา โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 16 องศา การเที่ยวไต้หวันในฤดูนี้ นิยมไปชมทะเลหมอก พร้อมฟินกับอากาศเย็น บนยอดเขาอาลีซาน  ส่วนกิจกรรมน่าเที่ยวในช่วงนี้คือเทศกาลตรุษจีนอันยิ่งใหญ่ ที่จะเริ่มในช่วงปลายเดือนม..-..

แต่งตัวยังไงดีนะ ?

แน่นอนว่าในฤดูหนาวเราอย่างนี้ ได้โอกาสในการหยิบไอเทมหน้าหนาวคู่ใจมาใส่โชว์กันซะแล้ว การแต่งตัวเที่ยวไต้หวันสามารถใส่เป็นเสื้อแขนยาวด้านใน คลุมด้วยเสื้อโค้ท หรือเสื้อกันหนาวด้านนอก พร้อมกางเกงขายาวและรองเท้าผ้า แต่ในบางพื้นที่ที่อากาศอุณหภูมิเลขตัวเดียว ขอแนะนำให้เตรียมถุงมือ และหมวกไปด้วย จะได้อุ่นกาย เที่ยวได้สบายใจกันตลอดทริปค่ะ

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : tourkrub ,skyscanner ,eng.taiwan

เที่ยวชุมชนกุฎีจีน เสพความคลาสสิก ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

เที่ยวชุมชนกุฎีจีน เสพความคลาสสิก ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

พักจากการเที่ยวต่างจังหวัด กลับมาเที่ยวในกรุงเทพฯ กันบ้าง เพราะเมืองหลวงของเราก็มีที่น่าเที่ยวเยอะแยะมากมาย โดยเฉพาะย่านเมืองเก่าในเขตต่าง ๆ ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและน่าสนใจ วันนี้ travel.mthai.com ขอพาท่านไป เที่ยวชุมชนกุฎีจีน ชุมชนเก่าแก่ย่านธนบุรี เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ยอดเยี่ยม และสถานที่อันสวยงาม อีกทั้งยังเป็นถิ่นกำเนิดของขนมฝรั่งกุฎีจีน ในประเทศไทยอีกด้วย

ชุมชนกุฎีจีน เป็นชุมชนเก่าแก่ของชาวไทยเชื้อสายโปรตุเกส ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี ร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของชุมชนแห่งนี้ แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตและเรื่องราวอันน่าสนใจมากมาย ดดยเฉพาะสัมพันธภาพภายใต้ความแตกต่างของเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมในชุมชนที่ประกอบไปด้วยชาวจีน อินเดีย และยุโรป ที่อยู่ร่วมกันอย่างปรองดองเป็นเวลานานกว่า 200 ปี

ท่าเรือขึ้นฝั่ง ชุมชนกุฎีจีน

บ้านไม้โบราณ ที่ยังคงอนุรักษ์ไว้

ตรอกซอกซอย มีกราฟฟิตี้ บอกใบ้จุดเด่นของชุมชน

ขนมฝรั่งกุฎีจีน

ถือเป็นขนมโบราณที่ยังคงยึดสูตรตามตำรับดั้งเดิมของชาวโปรตุเกส ที่เข้ามาตั้งรกรากในชุมชนตั้งแต่รัชสมัยของ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ขนมกุฎีจีนเป็นลุกผสมระหว่างจีนกับฝรั่ง ตัวขนมเป็นต้นตำรับของโปรตุเกส ขณะที่หน้าของขนมเป้นแบบจีน ที่ประกอบไปด้วยฟักเชื่อม ซึ่งคนจีนเชื่อกันว่าถ้าทานแล้วจะทำให้อยู่เย็นเป็นสุข

ขนมฝรั่งกุฎีจีน

ขนมกุฎีจีนมีลักษณะคล้ายขนมไข่ มีกรรมวิธีในการทำค่อนข้างเรียบง่าย โดยเริ่มจากการตีไข่และน้ำตาลให้ขึ้นฟู แล้วนำมาผสมกับแป้งสาลี ก่อจะนำมาหยอดใส่พิมพ์ แล้วเข้าเตาอบโบราณ ทำให้ขนมมีความกรอบนอกนุ่มใน และมีความหอมแบบเฉพาะตัวอีกด้วย หากคุณได้แวะมาเยี่ยมเยียนชุมชนแห่งนี้ ก็ควรแวะชิมหรือซื้อขนมฝรั่งกุฎีจีนติดมือกลับไปฝากที่บ้านด้วย โดยมีร้านขึ้นชื่ออยู่ 3 แห่ง คือ ร้านขนมป้าเป้า ร้านขนมแม่เล้ก และร้าน xxx

นอกจากนี้ยังมีขนมต้นตำรับที่หากินได้ยาก อย่างกระทงทองและช่อม่วง อีกด้วย

สถานที่น่าสนใจใกล้เคียง

โบสถ์ซางตาครูซ

โบสถ์ซางตาครูซ

โบสถ์ซางตาครูซ ถือเป็นศาสนสถานสำคัญที่ยืนหยัดอยู่คู่ชุมชมกุฎีจีนมายาวนานกว่า 100 ปี คำว่า “ซางตาครูซ” เป็นภาษาโปรตุเกส แปลว่า “กางเขนศักดิ์สิทธิ์” ตัวอาคารของโบสถ์เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิกและเรเนอซองซ์ มีลักษณะดดดเด่นคือหอระฆังทรงแปดเหลี่ยมประดับด้วยไม้กางเขนบนยอด ตัวอาคารก่ออิฐประดับลายปูนปั้น ส่วนล่างเป็นห้องโถงประกอบด้วยซุ้มโค้งที่สอดรับกัน ตกแต่งด้วยกระจกสีที่ถ่ายทอดเรื่องราวจากพระคัมภีร์

โบสถ์ซางตาครูซ

ศาลเจ้าเกียนอันเกง

ศาลเจ้าเกียนอันเกง

ศาลเจ้าแห่งนี้ มีสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายในที่ผสมผสานระหว่างการใช้กระเบื้องโค้งและวิธีมุงหลังคาแบบจีนแท้ ๆ นอกจากนี้ยังคงเหลือร่องรอยของศิลปะปูนปั้นอันงดงาม ที่สำคัญแม้จะได้ชื่อว่าเป็นศาลเจ้าจีน แต่ศาลเจ้าเกียนอันเกงยังคงสภาพความเก่าแก่ ปราศจากการทาสีตกแต่งจนจัดจ้าน และมีบรรยากาศอันเงียบสงบร่มรื่น หาได้ยากยิ่งในย่านเมืองกรุง นอกจากนี้ศาลเจ้าเกียนอันเกง ยังเคยได้รับรางวัลอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่น ประเภทปูชนียสถานและวัดวาอาราม ในปี 2551 มาแล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก : Nikon ประเทศไทย  ,  เรื่องและเรียบเรียงโดย MuzTong – Travel MThai

เติมความสดชื่นให้ร่างกายที่ ทะเลสาบทุ่งกุลา จ.สุรินทร์

เติมความสดชื่นให้ร่างกายที่
ทะเลสาบทุ่งกุลา จ.สุรินทร์

ซัมเมอร์ทีไร ทำไมใครๆ ต้องไปทะเล Travel Mthai ขอสวนกระแส พาไปล่องแพ โดดน้ำดับร้อน ผ่อนคลายสบายใจกันที่ ทะเลสาบทุ่งกุลา บ้านโพนม่วงม่วงสวรรค์ จังหวัดสุรินทร์ ที่เที่ยวลับที่น้อยคนนักจะรู้จัก

ทะเลสาบทุ่งกุลา  ตั้งอยู่ที่อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ เดิมคือทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ของชาวบ้าน ที่แห้งแล้งมาก จึงมีการขุดลอกพื้นที่ ทำเป็น โครงการแก้มลิง กักเก็บน้ำไว้ใช้ สามารถจุน้ำได้ 1,900,000 ลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันไม่ร้องไห้แล้ว กลายเป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ มีเนื้อกว้างขวางมากถึง 750 ไร่!

มีคนเปรียบเทียบทะเลสาบทุ่งกุลา ว่าสวยงามเหมือนท้องทะเล เพราะมีน้ำใสสีคราม แถมบรรยากาศก็ดี๊ดี ลมพัดโกรกเย็นสบาย เหมือนพักผ่อนอยู่ริมชายหาดเลยล่ะ ซึ่งบนฝั่งเราจะพบร้านอาหารตั้งเรียงรายกันไป แต่ละร้านจะมีแพประจำของตัวเอง เลือกเอาที่ชอบกันเลย

เมื่อเลือกแพและสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว จะมีเรือเล็กลากแพของเราไปยังกลางทะเลสาบ ห่างจากฝั่งประมาณ 500-700 เมตร เมื่อถึงจุดที่เหมาะสม แพจะถูกปล่อยให้ลอยเคว้งตามแรงลม เราจะนั่งห้อยขาจุ่มน้ำ พร้อมทานข้าว หรืออยากโดดน้ำคลายร้อน ก็ตามสะดวก

นอกจากแช่น้ำเย็นๆ กิจกรรมที่น่าสนใจอื่นๆ ก็มีมากมาย ทั้งปั่นเรือถีบ บานาน่าโบ๊ท แพคาราโอเกะ ปั่นจักรยาน สนุกสนานสุดๆ เหมือนมาเที่ยวทะเลไม่ผิดเพี้ยน

กิจกรรมและอัตราค่าบริการ 

นั่งแพลอยน้ำ ทานข้าว ชมวิวชิลล์ๆ ชั่วโมงละ 100-200 บาท มีให้เลือกทั้งแบบ แพชั้นเดียว หรือใครอยากมันส์ก็เลือก แพสองชั้น จะมีบันไดขึ้นชั้นสอง ไว้กระโดดน้ำ
บานาน่าโบ๊ท วิ่ง 3 รอบ 300 บาท
เรือปั่นหงส์ชั่วโมงละ 100 บาท
ปั่นจักรยานรอบทะเลสาบ
เสื้อชูชีพ/ห่วงยาง อันละ 20 บาท

การเดินทาง  ห่างจากจังหวัดสุรินทร์ ผ่านอำเภอท่าตูม ไปอำเภอชุม พลบุรี รวมระยะทาง 68 กิโลเมตร

เวลาเปิดปิด : 09.00 – 18.00 .

ขอบคุณรูปภาพจาก tungkulalagoonTUNGGULARLAKEBURIRAM WORLD