Shugaa room for dessert (ชูก้า) หอมหวานจนสุดซอย สุขุมวิท 61

Shugaa room for dessert (ชูก้า) หอมหวานจนสุดซอย สุขุมวิท 61

ร้าน Shugaa room for dessert (ชูก้า) คาเฟ่น้องใหม่เอาใจคนรักขนมหวาน ที่เปิดในซอยสุขุมวิท 61 เดินเข้ามาในซอยประมาณ 400 เมตร ร้านจะอยู่ภายในตึก The Residence @61 รับรองว่าใครที่หลงเข้ามาแล้ว จะกลับออกไปยากมาก เพราะความน่ารัก รู้สึกบายทั้งตาและใจ ยากที่จะก้าวขาออกจากนอกร้าน

01

02

การตกแต่งร้านก็บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ส่งถึงความมีศิลปะทั้งร้านและขนม ที่เรียกว่าสไตล์โพลิกอน เป็นศิลปะลายเหลี่ยมที่วางซ้อนกันให้เป็นรูปร่างที่สวยงาม หากมองอีกมุม คือสื่อถึงผลึกน้ำตาลที่มีความหมายตรงกับชื่อร้านอีกด้วย

03

มุมที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดนั่นก็คือมุมตรงบรรไดทางขึ้นไปบนชั้นสอง ศิลปะโพลิกอนที่ออกแบบมาเป็นรูปหมีที่มีขนากตัวเกือบเท่าคน และความน่ารักที่เป็นสีพาสเทลแล้ว น่าดึงดูดให้ไปถ่ายรูปใกล้ๆ

04

มุมพักผ่อนบนชั้นสอง ใครอยากพักผ่อนหย่อนใจหรือต้องการมุมอ่านหนังสือเงียบๆ ที่ชั้นลอยด้านบนที่มองให้ชั้นล่าง แถมด้านบนยังมีคลาสสอนปั้นเค้กน้ำตาล ทุกคนก็สามารถสร้างเค้กเป็นของตัวเองได้ ใครที่ได้รู้จักกับร้าน Shugaa ก็จะรู้ว่าไม่ได้มีแค่ขนมหวานแค่อย่างเดียว เรายังได้อิ่มท้องด้วยอาหารฟิวชั่น ที่รสชาติเข้มข้น ใครที่เห็นแค่หน้าตาของอาหารคิดว่าเป็นอาหารที่มีรสชาติเบาๆ ไม่จัดจ้าน แต่ขอบอกเลยว่าอย่าดูแค่เปลือกภายนอก ต้องลองชิมดูว่าแซ่บเครื่องจริงๆ ค่ะ ประเดิมเมนูแรกด้วย

05

Tengoku Spaghetti

Tengoku Spaghetti (265 บาท) เป็นเมนูไฮไลท์ ที่ต้องลองสั่งมาทาน เป็นเมนูที่มีชื่อสายชาวตะวันตกกับประเทศญี่ปุ่น คล้ายโซบะเย็น แต่นี่คือแองเจิลแฮร์เย็น ที่มาพร้อมกับไข่เมนไทโกะ ที่ท็อปอยู่ด้านบน

06

Smoked Salmon Benedict

Smoked Salmon Benedict (285 บาท) brunch ที่เสิร์ฟทั้งวัน มาตอนไหนก็ได้ทานแน่นอน ความเค็มของสโม็คแซลมอนตัดกับซอสเบชาเมล มีความกลมกล่อม เข้ากันได้อย่างลงตัว ทานพร้อมๆ กับไข่เบเนดิกต์ จะพบถึงความฟินไม่ที่สิ้นสุด

07

Olio Yoshoku

Olio Yoshoku (250 บาท) เป็นอีกจานที่ผสมผสานที่ความเป็นตะวันตกกับญี่ปุ่น ที่ลงตัวกันสุดๆ แถมเป็นจานโปรดของคนไทย เพราะรสชาติที่ถูกใจคนไทยที่สุด แต่ยังมีกลิ่นของญี่ปุ่นเยอะพอสมควรด้วยกลิ่นหอมของโชยุญี่ปุ่น มิโซะหวาน ดึงความเผ็ดด้วยพริกแห้ง โรยหน้าด้วยเบคอนทอดชิ้นเล็กๆ

08

Chaopraya Spaghetti

 Chaopraya Spaghetti (295 บาท) สปาเก็ตตี้เจ้าพระยา เห็นสีที่จืดๆ แบบนี้ ลองทานดูว่าไม่จืดอย่างที่คิด ความแซ่บนั้นสอดแทรกเข้าไปในเส้นแล้วด้วยซอสสูตรพิเศษ และเครื่องเคียงที่ยกมาทั้งแม่น้ำเจ้าพระยา ถึงแม้สีจะจืดกว่าเพื่อนแต่ความเผ็ดร้อนรสชาติจัดจ้านต้องยกให้เป็นเมนูนี้เลยค่ะ

09

S.W.A.G

S.W.A.G (160 บาท) น้ำ Blackcurrant โยเกิร์ตที่มีส่วนผสมของมะนาวและนม เพิ่มความนุ่มด้วยครีมชีสด้านบน

มาถึงเมนูของหวานที่ไม่ลองไม่ได้เมนูขนมหวานที่มากมายหลายอย่าง แต่ตัวที่เด่นๆ ที่ต้องลองนั่นมี 4 เมนู Cake Signature ต้องลอง หากไม่สั่งถือว่ายังไม่ถึงร้าน Shugaa เลยทีเดียว

10

Forrest Gump

Forrest Gump (180 บาท) ด้านนอกเป็นมิ้นสีเขียวหวานแหวว แต่ด้านในเป็นดาร์กช็อกโกแลตและบราวนี่แสนหอมหวาน

11

Kyotonite

Kyotonite (190 บาท) คล้ายโมจิลูกโต มีถั่วแดงด้านใน เป็นโมจิรสชาติชาเขียว มีความนุ่มหนึบและความรู้สึกกรอบของฐานด้านล่าง

12

CrumpB’

CrumpB’ (160 บาท) รูปร่างจะคล้ายกับเห็ด สีชมพูหวาน ด้านในจะเป็นแอปเปิ้ลคาราเมลหอมหวาน

13

J’Stella (185 บาท) ความรู้สึกเหมือนอยู่ในอวกาศ ด้านในเป็นดาร์กช็อโกแลตเวลาทานแล้วรู้สึกว่านุ่มรสชาติเบาๆ เหมือนลอยอยู่ในห้วงอวกาศ

14

Bake On

Bake On (255 บาท) Homemade Vanilla Tahiti ice-cream ทานกับขนมปังที่นำไปInfusedกับเบคอน มาในจานที่เหมือนเขียงไม้ มีองค์ประกอบหลายอย่างในจานอย่างเช่น Maple syrup, Pineapple Curd, Mixed Berry Caviar, Grand Mania Gel, Caramelized Pineapple, Bacon Crumble, White Chocolate Snow

15

ขอบคุณข้อมูล: Food MThai

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เทศกาล “สีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 3”

เทศกาล สีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 3

ความสุขในบ้านสมเด็จย่า ความสุขในป่าดอยตุง

01

เทศกาล “สีสันแห่งดอยตุง” ครั้งที่ 3 เทศกาลแห่งรอยยิ้มและความสนุกสนานบนถนนคนเดินสายวัฒนธรรมที่สูงที่สุดในประเทศไทยกลับมาอีกครั้งเมื่อลมหนาวมาเยือน ณ โครงการพัฒนาดอยตุงฯ อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงรายทุกวันเสาร์ -อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ระหว่างวันที่ 3 ธ.ค. 2559 – 29 ม.ค. 2560 นี้

เทศกาล “สีสันแห่งดอยตุง” จัดเป็นประจำทุกปี โดย มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมาเพื่อเป็นเวทีในการเสริมศักยภาพ สร้างความภาคภูมิใจให้ชาวบ้าน และที่สำคัญ คือ การสืบสานพระราชปณิธาน “ช่วยให้ เขาช่วยตัวเอง” ของ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีในการส่งเสริมให้ผู้คนมีคุ ณภาพชีวิตที่ดี อย่างยั่งยื น

เทศกาล “สีสันแห่งดอยตุง” ครั้งที่ 3 จัดขึ้นในแนวคิด “ความสุขในบ้านสมเด็จย่า ความสุขในป่าดอยตุง” ชวนชื่นชมความงามของพระตำหนักดอยตุง หรือ “บ้านที่ดอยตุง” ของสมเด็จย่าท่ามกลางป่าเขียวขจี แวดล้อมด้วยความสุขของคนท้องถิ่นนาเสนอวิถีชนเผ่าในมุมใหม่และประสบการณ์ ท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ อัดแน่นด้วยสาระ ความบันเทิงตลอดวันสำหรับทุกเจนเนอเรชั่น

นอกจากถนนคนเดินแล้ว สวนแม่ฟ้าหลวงและแหล่งท่องเที่ยวบนดอยตุงยังมีความพิเศษต่างจากฤดูกาลทั่วไป หลากหลายกิจกรรมอื่นๆ ภายในงาน

อาหารท้องถิ่น นานาเมนู อาหารชนเผ่า อาหารเหนือที่ปรุงจากวัตถุดิบธรรมชาติ ในพื้นที่ เช่น ข้าวแรมฟืนอาหารไทใหญ่ต้นตำรับ ข้าวปุ๊กปิ้งหวานน้าตาลอ้อย หรือหมูเหมยซานย่างหอมกรุ่น และขาดไม่ได้ คือ กาแฟดอยตุงหอมกรุ่นสดใหม่จากไร่ พร้อมสาธิตคั่วกาแฟให้ชมกันสดๆ

สินค้างานมือ ร้านค้านับร้อยร้านที่ภูมิใจเสนอสินค้าเฉพาะงานนี้ เท่านั้น เข้าร่วมเวิร์กช็อปงานมือ อาทิ ปั้นและเพนท์ เซรามิกเย็บสมุดกระดาษสา และพิเศษสุด คือ สาธิตเทคนิคการยิงพรมโดยช่างฝีมือผู้ช านาญ

ศิลปะ พิเศษในปีนี้ ด้วยการแสดงนิทรรศการศิลปะจัดวางสร้างสรรค์ ขึ้นเฉพาะงาน “สีสันแห่งดอยตุง” ครั้งที่ 3 โดย สถาปนิกชื่อดัง อาทิ ปิตุพงษ์ เชาวกุล สนิทัศน์ ประดิษฐ์ทัศนีย์ และกลุ่มศิลปินจาก “ขัวศิลปะ” เชียงราย

การละเล่นพื้นเมือง ซิ่ง “ฟอร์มูล่าดอย” สุดสนุกและชมการแสดงชนเผ่าหาชมยาก อาทิ แคนลาหู่ สะบ้าอาข่า และอื่นๆ อีกมากมาย

กิจกรรม เปลี่ยน เท่ากับ ปลูก” เปิดโอกาสให้ นักท่องเที่ยวร่วมแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เติมความหมายให้กับการมาเยือนดอยตุง

กิจกรรมและร้านค้าในเทศกาล “สีสันแห่งดอยตุง” ครั้งที่ 3 เปิดให้ บริการตั้งแต่ 8.00 – 18.00 น. สะดวกสบายด้วยจุดบริการแพ็คสินค้า ที่จอดรถ และมีบริการรถรั บ-ส่งภายในงานตลอดวัน ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวของเทศกาลสีสันแห่งดอยตุงครั้ งที่ 3 ได้ที่ www.doitung.org และ www.facebook.com/DoiTungClub

ขอบคุณข้อมูล: http://travel.mthai.com/news/142989.html

 

ไฮไลท์ปลายฝน กับ 7 สุดยอดจุดชมวิวทะเลหมอก

ไฮไลท์ปลายฝน กับ 7 สุดยอดจุดชมวิวทะเลหมอก

เข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบเต็มตัวแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมคงหนีไม่พ้นการชมวิวทะเลหมอกในที่ต่าง ๆ การได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ทั้งการเดินป่า นอนเต๊นท์ ชมทุ่งดอกไม้ ตื่นมารับแสงยามรุ่งอรุณ หรือออกมาส่งพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ล้วนแล้วแต่เป็นภาพแห่งความประทับใจ ในเราเก็บความรู้สึกเอาไว้ผ่านภาพถ่าย นี่ก็ใกล้จะหมดฝนแล้ว Travel MThai จึงอยากจะแนะนำ 7 สุดยอดจุดชมวิวทะเลหมอก ที่คุณควรไปชมก่อนสายฝนจะจากไป…

1. ภูทับเบิก

01

แม้จะถูกมนุษย์รุกพื้นที่ไปพอสมควร แต่ ภูทับเบิก อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,768 เมตร ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเพชรบูรณ์ ยังคงเป็นแหล่งชมทะเลหมอกยอดนิยมไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยภูมิประเทศมีความงดงามอย่างมาก เต็มไปด้วยทะเลภูเขา ป่าไม้และธรรมชาติมีความอุดมสมบูรณ์ อากาศบริสุทธ์ เย็นสบายตลอดปี ในตอนเช้ามีหมอกและกลุ่มเมฆ มองเห็นเป็นทะเลหมอกตัดกับยอดภูสีเขียว และยังเป็นเป็นแหล่งปลูกกะหล่ำปลีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อีกด้วย

2. ภูทอก

02

จุดชมวิวภูทอก อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย สถานที่นักท่องเที่ยวจะสามารถสัมผัสปุยของทะเลหมอกได้อย่างใกล้ชิดแบบสุด ๆ ถ้าหากมองในระยะไกลเบื้องหน้าจะเห็นวิวทะเลหมอกขาวโพลนตัดกับแสงสีส้มของพระอาทิตย์ ซึ่งนอกจากวิวของทะเลหมอกแล้วยังเป็นจุดที่สามารถมองเห็นวิว 360 องศา แบบพาโนราม่าของเมืองเชียงคานได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นแก่งคุดคู้และลำน้ำโขง ด้วยภูแห่งนี้มีลักษณะเป็นภูเขาสูง ทำให้ทัศนียภาพโดยรอบบริบูรณ์ด้วยธรรมชาติสร้างสรรค์ ในช่วงเวลาการชมทะเลหมอก คือในช่วงปลายฝนถึงฤดูหนาวแบบนี้แหละ

3. เขาพะเนินทุ่ง

03

เขาพะเนินทุ่ง อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,207 เมตร มีทะเลหมอกให้ชมแทบจะตลอดปี ซึ่งเกิดจากความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าและต้นไม้ ที่พร้อมใจกันคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจนกลายเป็นทะเลหมอกหนาตา ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกันอย่างเต็มที่ในช่วงเช้าจะมองเห็นกลุ่มควันแห่งความหนาวสีขาวนวลปกคลุมทั่วหุบเขา เมื่อเริ่มจางลงบริเวณเบื้องล่างจะปรากฏภาพป่าดงดิบอันแสนชุกชุม มีเทือกเขาสลับซับซ้อนกว้างไกลสุดตาอยู่ด้านหลังโดยจุดชมทะเลหมอกจะมีอยู่ 2 แห่งคือ จุดชมวิวกิโลเมตรที่30 และ 36

4. ดอยผาตั้ง

04

ดอยผาตั้ง มีความสูงประมาณ 1,800 เมตร จากระดับน้ำทะเล เป็นยอดดอยในเทือกเขาหลวงพระบาง เป็นเส้นแบ่งเขตไทย-ลาว อยู่ห่างจากภูชี้ฟ้าประมาณ 30 กิโลเมตร ดอยผาตั้ง ถือเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง ชาวท้องถิ่นที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ คือ ชาวจีนฮ่อ ม้ง และเย้า ซึ่งมีอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ปลูกพืชเมืองหนาว เช่น บ๊วย ท้อ สาลี่ แอปเปิ้ล และชา เป็นหนึ่งสีสันแห่งวัฒนธรรมชนเผ่า

5. ดอยเมี่ยง

05

ดอยเมี่ยง จ.แม่ฮ่องสอน สวรรค์เมืองหมอกป้ายแดง ที่ปักหมุดอยู่สูงประมาณ 1,600 เมตร ในพื้นที่ป่าดิบชื้นและภูเขาสูงชันสลับซับซ้อน เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้หลายชนิด เช่น ต้นสน ต้นพญาเสือโคร่ง ต้นมะค่า ความสุขโดยสัมผัส คือการไปยืน ณ จุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพทิวทัศน์ของเมืองปายได้อย่างสวยงาม แบบสุดสายตา 360 องศา ท่ามกลางมวลอากาศหนาวเย็นและมีลมพัดโชยสบายทุกฤดูกาล

6. ดอยแม่ระเมิง

06

ดอยแม่ระเมิง ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่เมย ที่คุ้มค่าน่าไปและไม่ไกลเหมือนจุดชมทะเลหมอกแห่งอื่น คือ ทะเลหมอกสวยในฝัน ซึ่งยืนยันได้ว่าไม่มีผิดหวัง หากคุณไปตรงวันเวลา ถูกฤดูกาล ทุกเช้าก่อนรุ่งสางรอชมตะวันขึ้นกับทะเลหมอกมองได้ 180 องศา จุดชมวิวที่ดีที่สุดก็คือม่อนกิ่วลม ก่อนกลับแวะไปชมหมู่บ้านกะเหรี่ยง 200 ปี เป็นของแถม จะรู้ว่าทำไมผู้คนอยู่ลึกกลางขุนเขาไม่เคยย้ายถิ่นฐานยาวนานถึง 200 ปี

7. เขาไข่นุ้ย

07

“เขาไข่นุ้ย” หรือ “ภูไข่นุ้ย” จังหวัดพังงา ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลเพียง 200 เมตร ความสูงกำลังพอดีให้นักท่องเที่ยวได้ชมความงามในหน้าฝนและหนาวแบบไม่ต้องออกแรงมาก นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดพังงา ซึ่งเวลานี้กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยเพราะมีทะเลหมอกให้ชมตลอดทั้งปี ไม่เว้นแม้แต่ฤดูร้อน หากจะเดินทางมาชมทะเลหมอกแนะนำให้มาในช่วงที่มีคลื่นลมทะเลสงบเท่านั้น นักท่องเที่ยวถึงจะได้เห็นปุยขาวของทะเลหมอกบนเขาไข่นุ้ยแห่งนี้ได้อย่างชัดเจน

เรื่องและเรียบเรียงโดย: Travel MThai