ความสุขครั้งใหม่อาหารซีฟู้ด ที่ ‘แหลมเกต อินฟินิท’

ความสุขครั้งใหม่อาหารซีฟู้ด ที่ แหลมเกต อินฟินิท

01

สมเป็นร้านอาหารซีฟู้ดรูปแบบใหม่ที่สร้างเซอร์ไพรส์ให้เหล่านักชิมมีรสนิยมอยู่เสมอ ล่าสุด แหลมเกต อินฟินิท สร้างสรรค์ผลงานผ่านโปรเจกท์ Laemgate Infinite X Rainforest The Wedding Present “Dancing Ocean” บนชั้น 2 อาคาร เอสเจ อินฟินิท ทาวเวอร์ ถ.วิภาวดีรังสิต ด้วยการตกแต่งสถานที่ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ผู้ที่มาเยือน Laemgate Seafood Restaurant ได้มีช่วงเวลาที่จะสนุกกับจินตนาการนอกเหนือจากการมานั่งรับประทานซีฟู๊ดรสเลิศของทางร้าน

02

จุดเริ่มต้นของงานดีไซน์ในครั้งนี้เริ่มต้นด้วยการออกแบบการจัดดอกไม้ในรูปแบบ Flower Installation ให้มีความรู้สึกเหมือนมีน้ำวนอยู่เหนือบรรยาการภายในร้าน โดยใช้แท่นอครีลิค มาผูกมัดให้ดูเป็นเกลียวน้ำ แซมด้วยดอกไม้สีขาวนานาชนิด ตอบโจทย์ความเป็นร้านซีฟู๊ดที่ใช้การออกแบบเชิงสัญลักษณ์ แทนการดีไซน์บรรยากาศใต้ท้องทะเลแบบชัดเจนเกินไปจนไป ลดความหรูของสถานที่ในช่วงกลางคืน เมื่อมีการเปิดไฟที่สานไว้ตามแท่งอครีลิค จะเห็นละอองไฟที่ส่องแสงฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณร้าน จะรู้สึกเหมือนนั่งรับประทานอาหารอยู่ใต้กาแล็คซี่ที่มีหมู่ดาวนับล้านดวง นับเป็นการต่อยอดสีสันและความสนุกให้กับจินตนาการของลูกค้าที่เข้ามารับประทานอาหารในสถานที่แห่งนี้ไม่น้อย ดังนั้นอาหารมื้อนี้จะไม่ได้พิเศษแค่เพียงรสชาติของอาหารที่สดอร่อย แต่เป็นการนำจินตนาการกลับบ้านเป็นของที่ระลึก และไม่ลืมที่จะกลับมาพร้อมกับใครต่อใครที่เราอยากให้แชร์ประสบการณ์ดีๆ ร่วมกับเรา

03

บรรยากาศภายในร้าน แหลมเกต อินฟินิท

ภายในอาณาจักรแห่งใหม่ของ “แหลมเกต อินฟินิท” แห่งนี้ นอกจากจะมีอาหารทะเลเลิศรสที่พร้อมเสิร์ฟต้อนรับ คนรักซีฟู้ดให้ได้เพลิดเพลินไปกับมื้อโปรดอย่างสนุกสนานกว่า 26 เมนูแล้ว ยังมีพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะ Flower Installation ที่งดงาม ที่นี่จึงเป็นเสมือนโรงละครแห่งความสุข ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแฟนๆ แหลมเกต หรือผู้รักงานศิลปะและมองหาไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ จะได้เข้ามารับประทานอาหารและใช้เวลาผ่อนคลายเพื่อสร้างแรงบันดาลใจที่ดีกลับไป

04

05

06

กุ้งแช่น้ำปลา

07

ต้มยำกุ้ง

 

08

แกงส้ม

09

หอยนางรมสดๆ

10

ค้นหาคำตอบของความสุข สไตล์ แหลมเกต อินฟินิท ได้แล้ววันนี้ สำรองที่นั่งบนพื้นที่ 666 ตารางเมตร สามารถรองรับได้ 250 ที่นั่งต่อ 1 รอบ บริเวณชั้น 2 ของเอสเจ อินฟินิท ทาวเวอร์ ถ.วิภาวดีรังสิต แยกจตุจักร-ลาดพร้าว (ใกล้ BTS จตุจักร) ที่พร้อมเสิร์ฟความอร่อยทุกๆ 90 นาที รอบอาหารกลางวันเวลา 11.30-13.00 และ 13.30-15.00 น. ส่วนมื้ออาหารค่ำช่วงเวลา 17.30 – 19.00 น. และ 19.30 -21.00 น. ตามคอนเซ็ปต์ “recipes for small happiness” ความสุขบนรสชาติอาหารที่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ในราคาเพียง 666 บาท โทร. 080-000-4444, 084-959-5959 (ร้านปิดทุกวันอังคาร) หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมทางเฟซบุ๊คแฟนเพจ facebook.com/Laemgate และอินสตาแกรมภายใต้แฮชแท็ก #laemgateinfinite #rainforest #dancingocean

ขอบคุณข้อมูลจาก: Travel MThai

 

 

 

 

 

 

 

ความเรียบง่ายและพอเพียงใน เครื่องเสวย ของในหลวง ร.9

ความเรียบง่ายและพอเพียงใน เครื่องเสวย ของในหลวง ร.9

01

ความเรียบง่ายและพอเพียงของพ่อหลวง ร.9 นั้น นอกจากเรื่องการดำเนินชีวิตแล้ว ยังรวมไปถึงเรื่องของเครื่องเสวยอีกด้วย เราจึงได้นำส่วนหนึ่งของบทความที่ คุณดวงฤทธิ์ แคลัวปลอดทุกข์ Food Stylist ได้เขียนไว้ โดยนำข้อมูลมาจากบทสัมภาษณ์คุณหญิงประสานสุข ตันติเวชกุล (ในขณะนั้น) ต้นเครื่องพระตำหนักจิตรลดาฯ จากหนังสือ ‘เครื่องต้น ก้นครัว’ ครัวจิตรลดา จัดทำโดยสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ไม่ระบุปีที่พิมพ์ มาเรียบเรียงให้ทุกท่านได้อ่านกัน

02

หนังสือ ‘เครื่องต้น ก้นครัว’

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านเสวยง่ายค่ะ เสวยได้ทุกอย่างที่ตั้งเครื่องถวาย เพียงแต่ไม่ทรงโปรดรสจัดทุกประเภทเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องต้นเกี่ยวกับอะไร ไม่ลำบากเลย ไม่หนักใจเลยค่ะ ตัวอย่างนะคะ

อย่างมื้อเช้าจะเป็นข้าวต้มสองแบบสลับกันไป ระหว่างข้าวต้มเครื่องกับข้าวต้มกับ กับข้าวต้มนี่ก็ธรรมดามาก อย่างที่เรารับประทานกันนี่แหละค่ะ เช่น หัวไชโป๊วผัดไข่ ไข่เค็ม ยำปลาสลิด ผัดหนำเลี๊ยบ หรือไข่เจียว ทรงโปรดเสวยง่ายๆ เหมือนสามัญชน… ยำกุ้งแห้งจะต้องหั่นขิงเป็นฝอยใส่โรยลงไปด้วย หั่นพริกขี้หนูเป็นฝอย ถ้ามีเต้าหู้ยี้ก็จะมีพริกและมะนาวฝานเป็นชิ้นเคียงกันไปด้วย ตั้งเครื่องอะไรก็ทรงเสวยหมด บางมื้อมีถั่วลิสงคั่ว ปลาหมึกเค็มทอด ต้มจับฉ่าย เต้าหู้เค็ม และพวกพะโล้มีทั้งไก่ ทั้งหมูแล้วก็ไข่ด้วย…โดยทุกอย่างต้องรสกลมกล่อมพอดี ไม่จัดมากค่ะ”

จากบทสัมภาษณ์คุณหญิงประสานสุข ตันติเวชกุล(ในขณะนั้น) ต้นเครื่องพระตำหนักจิตรลดาฯ จากหนังสือ “”เครื่องต้น ก้นครัว” ครัวจิตรลดา จัดทำโดยสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ไม่ระบุปีที่พิมพ์

03

รูปภาพ “ข้าวต้มกับ” จากร้านอาหารไทย The Never Ending Summer Food stylist ; Duang-rithi Claewplodtook Photographer ; Vipa Vadi

น้ำพริกทรงโปรด

04

รูปประกอบ “น้ำพริก ปลาทูทอด” จากนิตยสาร HARPER’S BAZAAR THAILAND และนิตยสาร HARPER’S BAZAAR SPAIN Food Stylist; Duang-rithi Claewplodtook ช่างภาพ; Sansithi Koraviyothin

หม่อมหลวงเนื่อง นิลรัตน์ เคยเล่าไว้ในหนังสือ “ชีวิตในวัง” ว่า ในสำรับเครื่องเสวยเจ้านายในสมัยก่อน จะต้องมีปลาทูทอดพร้อมน้ำพริกต่างๆตามฤดูกาลขึ้นตั้งเครื่องทุกครั้งไป จะเสวยหรือไม่ไม่รู้ แต่ต้องมีทุกครั้งที่ตั้งเครื่องไทย โดยคนตั้งสำรับจะถอดก้างออกให้หมด เรียงด้านสันหลังปลาตั้งขึ้น อัดลงในหีบเงินแท้ที่รองด้วยใบตอง

พอหมดฤดูปลาทูแล้ว ก็หมดกัน

วิธีเก็บปลาทูไว้กินตลอดปีของคนโบราณ คือ ทอดให้เหลืองกรอบ อัดใส่ไหซอง เทน้ำมันหมูร้อนๆลงท่วมตัวปลาถึงปากไห ปิดฝา ยาซีเมนต์กันอากาศเข้า พระวิมาดาเธอฯ โปรดฯให้ห้องเครื่องทำไปประทานพระราชชายาเจ้าดารารัศมีที่เมืองเชียงใหม่ ไว้เสวยได้ตลอดปี เมื่อจะเสวยนำมาทอดใหม่ให้เหลืองกรอบ หอม อีกครั้ง

คุณหญิงประสานสุข ตันติเวชกุล ได่เล่าไว้ถึงน้ำพริกที่เป็นเครื่องเสวยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในหนังสือ “เครื่องต้น ก้นครัว” ครัวจิตรลดา ไว้ว่า

“ก็เป็นน้ำพริกมะขามบ้าง น้ำพริกมะขือพวงบ้าง น้ำพริกหนำเลี๊ยบ หรือบางทีก็น้ำพริกลงเรือ น้ำพริกกะปิปลาทูทอดนั้น เฉพาะอย่างยิ่งปลาทูพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดมาก เสวยได้บ่อยๆ ก่อนจะตั้งก็ต้องแกะก้างออกให้หมด ส่วนเครื่องจิ้มก็เป็นผักสดชุบไข่ทอด ผักดอง ขิงดอง เราต้องดองเองค่ะ หรือถ้าอย่างเป็นน้ำพริกมะม่วงก็คู่กับปลาสลิด น้ำพริกมะขามสดก็ต้องเป็นกุ้งต้มที่เราต้มเองนะคะ ไม่ใช่ซื้อที่เขาต้มไว้แล้วที่ตลาด เรื่องของความสะอาดนั้นเราระวังสุดชีวิตค่ะ”

พริกกะเกลือ

05

คุณหญิงประสานสุข ตันติเวชกุล เคยให้สัมภาษณ์เรื่องพริกกะเกลือที่ทรงโปรดเสวยไว้ในหนังสือ “เครื่องต้น ก้นครัว” ว่า

“…หรือแม้แต่กับข้าวพื้นๆ อย่างที่ชาวบ้านนิยมกันเป็นอาหารจานโปรดด้วยเหมือนกัน หรืออีกอย่างที่ชาวบ้านอาจไม่ค่อยนิยมทำกัน แต่เป็นเครื่องต้นบ่อย และเป็นของง่ายๆ

นั่นคือ พริกกะเกลือ… เป็นชื่อเฉพาะทั้งๆที่ไม่มีพริกเลยสักเม็ดเดียว

วิธีปรุง เอามะพร้าวมาคั่วให้เหลืองหอม ถั่วลิสงคั่วด้วย แล้วเอาใส่ครกตำกับเกลือจนละเอียด เนื้อมะพร้าวนั้นจะแตกมัน ต้องระวังรสให้พอดี อย่าให้เค็มมากนัก

ถ้าตั้งพริกกะเกลือล่ะก็ ข้าวสวยต้องร้อนๆ โปรดมากเชียวค่ะ…

นอกจากทุกพระองค์จะเสวยง่ายๆ ธรรมดาๆ ตั้งอะไรก็เสวยอย่างนั้น ไม่เคยมีเสียงบ่น หรือติอะไรแล้ว ยังทรงประหยัดอีกด้วย…”

หนำเลี๊ยบผัด

06

รูปประกอบ “ข้าวต้มกับ” จากร้านอาหารไทย The Never Ending Summer จากนิตยสาร home & decor Food Stylist; Duang-rithi Claewplodtook ช่างภาพ; Vipa Vadi

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านเสวยง่ายค่ะ เสวยได้ทุกอย่างที่ตั้งเครื่องถวาย เพียงแต่ไม่ทรงโปรดรสจัดทุกประเภทเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องต้นเกี่ยวกับอะไร ไม่ลำบากเลย ไม่หนักใจเลยค่ะ

ตัวอย่างนะคะ อย่างมื้อเช้าจะเป็นข้าวต้มสองแบบสลับกันไป ระหว่างข้าวต้มเครื่องกับข้าวต้มกับ…”

เรื่องของ ‘หนำเลี๊ยบผัด’ เป็นของชอบของนักรับประทานข้าวต้มกับทั้งนั้น คุณหญิงประสานสุขจึงให้คำอธิบาย ถึงวิธีปรุงหนำเลี๊ยบผัดที่เป็นพระเครื่องต้น ดังนี้

“หนำเลี๊ยบผัด ดิฉันลอกเปลือกแข็งออกก่อน แล้วจึงเลาะเอาแต่เนื้อมาสับ ทุบกระเทียมให้มากหน่อยแล้วเอาลงผัด เจือน้ำตาลทรายเพื่อตัดรสเค็มของเนื้อหนำเลี๊ยบ โรยด้วยกากหมูที่เราหั่นเล็กๆ เตรียมเอาไว้แล้ว ดิฉันเรียนได้ว่าทรงโปรดมาก และโปรดทุกพระองค์เลยค่ะ…”

ข้าวต้มเครื่อง

07

รูปประกอบ “ข้าวต้มเครื่องจัดแบบวิทยาลัยในวังหญิง” จากปฏิทินกรุงไทยการไฟฟ้า ปี 2559 ซึ่งได้รับรางวัล “สุริยศศิธร” ประเภทปฏิทินดีเด่นด้านอนุรักษ์อาหารไทย Food Stylist; Duang-rithi Claewplodtook ช่างภาพ; Sansithi Koraviyothin

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านเสวยง่ายค่ะ เสวยได้ทุกอย่างที่ตั้งเครื่่องถวาย เพียงแต่ไม่ทรงโปรดรสจัดทุกประเภทเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องต้นเกี่ยวกับอะไร ไม่ลำบากเลย ไม่หนักใจเลยค่ะ

ตัวอย่างนะคะ อย่างมื้อเช้าจะเป็นข้าวต้มสองแบบสลับกันไป ระหว่างข้าวต้มเครื่องกับข้าวต้มกับ

…ยิ่งข้าวต้มเครื่องด้วยแล้ว ก็ธรรมดาเหมือนกันอีกแหละค่ะ ข้าวต้มกุ้ง หมู ไก่ และก็ ปลา สลับกันไป แต่ดิฉันจะปรุงแต่งให้ดูแปลกตาไป บ้าง ก็อย่างชิ้นของกุ้ง หมู ไก่ หรือปลา โดยเราจะประดิดประดอยเป็นรูปทรงต่างๆ … แล้วก็ทุกพระองค์จะทรงเสวยหมดค่ะ…

สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงโปรดเสวยเพียงชามเดียว ไม่ตักเติมอีก เพราะฉะนั้นเมื่อตักทีแรก จะต้องกะให้พอดีกับภาชนะ หมดแล้วไม่ทรงเติม…พระองค์ท่านเสวยอย่างนี้ตลอดเวลา ไม่เคยเห็นตักซ้ำอีกค่ะ”

08

ขอขอบคุณบทความ และภาพอาหารประกอบจาก: คุณดวง Duang-rithi Claewplodtook , Duang-rithi Foodstylist และภาพประกอบจาก: ร้าน The Never Ending Summer

เรียบเรียงโดย: Travel MThai

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

10 วัดศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ที่ครั้งหนึ่งควรไปสักการะเพื่อเป็นมงคลชีวิต

10 วัดศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ที่ครั้งหนึ่งควรไปสักการะเพื่อเป็นมงคลชีวิต

เดินทางไหว้พระรับพรที่วัดศักดิ์สิทธิ์ พร้อมศึกษาประวัติความเป็นมาของอาณาจักรที่หยั่งรากลึกมานานกว่าพันปี

01

ทางเว็บไซต์ Skyscanner นำเสนอวัดสำคัญ 10 แห่ง จากทั่วไทย ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองตั้งแต่สมัยโบราณกาล เป็นสถานที่ที่ไม่ควรพลาดสำหรับใครหลายๆ คนที่ได้มีโอกาสไปเยือนในจังหวัดนั้น หรือกำลังวางแผนจะไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์รับพรชีวิต จะมีที่ใดบ้าง ลองติดตามกัน…

02

วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่

03

เป็นวัดคู่เมืองล้านนามาช้านาน ตั้งอยู่บนดอยสูงซึ่งเชื่อกันว่าแต่เดิมเป็นที่บำเพ็ญภาวนาของฤาษีสุเทวะ สร้างขึ้นในสมัยพญากือนา พ.ศ. 1929 เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ต่อมาใน พ.ศ. 2100 พระมหาญาณมงคลโพธิ์แห่งวัดอโศการาม เมืองลำพูน ได้สร้างบันไดนาคหลวงสู่พระธาตุเพื่อให้ประชาชนได้ขึ้นไปสักการะพระธาตุได้ ง่ายขึ้น และต่อมาในปี พ.ศ. 2477 ครูบาศรีวิชัย ได้ริเริ่มสร้างถนนขึ้นสู่ดอยสุเทพ ในบริเวณทางขึ้นจะมีอนุสาวรีย์ของครูบาศรีวิชัยอยู่ด้วย นอกจากนี้ภายในเขตวัดก็ยังมีงานพุทธประติมากรรม ศิลปกรรมอื่นๆ อีก เช่น ฉัตร 4 มุม สัตติบัญชร (รั้วหอก) หอยอ หอท้าวโลกบาล ไหดอกบัว อนุสาวรีย์ฤาษีสุเทวะ และบันไดนาคเป็นต้น

สถานที่ตั้ง: ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

วัดพนัญเชิงวรวิหาร จังหวัดอยุธยา

04

วัดนี้ถูกสร้างขึ้นก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าใครเป็นผู้สร้าง แต่ตามพงศาวดารเหนือกล่าวว่าพระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นผู้สร้าง ณ บริเวณที่พระราชทานเพลิงศพของพระนางสร้อยดอกหมาก และทรงได้พระราชทานนามว่า “วัดพระนางเชิง” ในพระวิหารเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโต พระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ที่สุดของอยุธยา ซึ่งคาดว่าได้มีการสร้างขึ้นในราวปี พ.ศ. 1867 ชื่อว่า “พระพุทธเจ้าพนัญเชิง” หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนาม “หลวงพ่อโต” ในรัชสมัยของ ร.4 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณะวัดและหลวงพ่อโตครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2497 และทรงพระราชทานนามใหม่ว่า “พระพุทธไตรรัตนนายก” ชาวไทยจีนนิยมเรียกกันว่า “หลวงพ่อซำปอกง” งานศิลปกรรมภายในวัดมีทั้งศิลปะสมัยสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ มีตึกสถาปัตยกรรมแบบจีน “ตำหนักเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก” และมีรูปปั้นของพระองค์ในเครื่องแต่งกายแบบจีนประดิษฐานอยู่ด้วย

สถานที่ตั้ง: ตำบลคลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดอยุธยา

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุราชวรวิหาร “วัดมหาธาตุ” “วัดมหาธาตุเชลียง” จังหวัดสุโขทัย

05

เป็นวัดหลวงโบราณขนาดใหญ่ที่สำคัญของสมัยสุโขทัย ตั้งอยู่ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย มีโบราณสถานสำคัญอยู่ภายในอาณาเขตวัด เช่น พระมหาธาตุเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ มณฑปพระอัฏฐารศประดิษฐานพระอัฏฐารศ พระพุทธรูปศิลปะลังกาสูง 19 ศอก วิหารหลวงก่อด้วยศิลาแลงที่เคยประดิษฐานพระศรีสากยมุนีพระพุทธรูปสำริดขนาด ใหญ่ ซึ่งสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระธรรมราชาลิไทในปี พ.ศ. 1905 และต่อมาได้อัญเชิญไปประดิษฐาน ณ วิหารหลวงวัดสุทัศน์เทพวราราม กรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่ 1 และเจดีย์ 5 ยอดที่เชื่อกันว่าบรรจุพระบรมอัฐิของพระธรรมราชาลิไท

สถานที่ตั้ง: ตำบลศรีสัชนาลัย อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) จังหวัดกรุงเทพฯ

06

เป็นวัดที่รัชกาลที่ 1 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นพร้อมกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระอารามหลวงตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอกของพระบรมมหาราชวัง และเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา แต่ใช้เพื่อประกอบพิธีกรรมต่างๆ ของบ้านเมือง เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร “พระแก้วมรกต” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของ นอกจากนี้ก็ยังมีพระพุทธรูปและงานศิลปกรรมแขนงต่างๆ ที่น่าสนใจอีกมาก เช่น พระมณฑป พระศรีรัตนเจดีย์ ปราสาทพระเทพบิดร หอพระมณเฑียรธรรม วิหารยอดหอพระนาก ศาลาราย พระอัษฎามหาเจดีย์ (พระปรางค์ 8 องค์) หอพระคันธารราษฎร์ มณฑปยอดปรางค์ หอระฆัง เจดีย์ทอง 2 องค์ นครวัดจำลอง งานจิตรกรรมฝาผนังรอบพระระเบียงคดเรื่องรามเกียรติ์อันสวยงามและมีความยาว ที่สุดในโลก และรูปปั้นยักษ์ทวารบาลเฝ้าประตู เป็นต้น

สถานที่ตั้ง: แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร จังหวัดกรุงเทพฯ

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) จังหวัดกรุงเทพฯ

07

วัดประจำรัชกาลที่ 1 และยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระองค์ภายใต้พระประธานในพระอุโบสถ “พระพุทธเทวปฏิมากร” อีก ด้วย โดยวัดแห่งนี้แต่เดิมเป็นวัดเก่าตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และถูกยกฐานะเป็นพระอารามหลวงในสมัยกรุงธนุรี เดิมชื่อวัดโพธารามหรือวัดโพธิ์ ตั้งขนาบพระบรมมหาราชวัง แต่ด้วยความทรุดโทรมของวัดเมื่อเปลี่ยนราชวงศ์ รัชกาลที่ 1 จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดขึ้นมาใหม่ และพระราชทานนามว่าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส และรัชกาลที่ 4 ได้ทรงปรับนามเป็นวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร วัดแห่งนี้มีพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ที่มีความยาวถึง 46 เมตร และสิ่งน่าสนใจอื่นๆ อีก เช่น รูปปั้นฤาษีดัดตน พระมหาสถูป พระเจดีย์ วิหารสี่ทิศ และยักษ์วัดโพธิ์ เป็นต้น

สถานที่ตั้ง: แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร จังหวัดกรุงเทพฯ

วัดพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม

08

ตามตำนานกล่าวไว้ว่าองค์พระธาตุเดิมมีอายุกว่า 2300 ปี สร้างขึ้นโดยพระมหากัสสปะ พระอรหันต์ 500 องค์ และเจ้าพระยามหานครต่างๆ เพื่อประดิษฐานพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) และทรัพย์สมบัติมีค่ามากมาย เมื่อพ.ศ. 2518 องค์พระธาตุได้ล้มทลายลงมาจึงได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ครอบองค์เดิม ไว้ ในบริเวณวัดแห่งนี้มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกนำไปใช้ในพระราชพิธีราชาภิเษก ของทุกรัชกาล และจะมีงานสมโภชพระธาตุจัดขึ้นทุกปีในวันเพ็ญเดือน 3 วัดพระธาตุแห่งนี้เป็นที่เคารพทั้งในหมู่พุทธศาสนิกชนชาวไทยและชาวลาว

สถานที่ตั้ง: ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม

วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร จังหวัดสกลนคร

09

ตามตำนานเล่าว่าพระพุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์ได้เสด็จมาประทับรอยพระบาทที่วัดแห่งนี้ นอกจากนี้ยังพบหลักฐานแท่นบูชาขอมโบราณ และศิลาจารึกอักษรขอมในราวศตวรรษที่ 15- 16 ในผนังทางเข้าอุโมงค์พระธาตุ องค์พระธาตุในปัจจุบันเป็นศิลปะล้านช้างจากการที่ได้รับการบูรณะในราวศตวรรษ ที่ 19 ภายในพระวิหารวัดเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อพระองค์แสน พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะเชียงแสน พระคู่เมืองสกลนคร นอกจากนี้ภายในวัดยังมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีมาพร้อมพระธาตุ ในอดีตมีการนำน้ำจากที่นี่ไปประกอบพิธีกรรมสำคัญๆ ของเมือง มีพระอุโบสถที่มีจิตรกรรมอันวิจิตร และหอกลองหรือหอระฆังที่สร้างโดยชาวเวียดนามเพื่อถวายองค์พระธาตุเชิงชุม

สถานที่ตั้ง: ริมหนองหาน อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร

วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร จังหวัดสุพรรณบุรี

11

สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองและเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในภูเก็ต วัดแห่งนี้เป็นที่ศรัทธาของชาวเมืองที่ศรัทธาในตัวหลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อช่วง และหลวงพ่อเกลื้อมที่เลื่องลือเรื่องการปรุงยาสมุนไพรรักษาโรคร้ายต่างๆ นอกจากนี้หลวงพ่อแช่มยังได้ช่วยเหลือชาวภูเก็ตต่อสู้กับกบฏอั้งยี่ในปี พ.ศ. 2419 จนเป็นความเชื่อกันมาถึงปัจจุบันว่าหากได้ไปนมัสการหุ่นขึ้ผึ้งจำลองของหลวง พ่อทั้งสามที่วัดฉลองแล้วจะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตอย่างมาก ภายในวัดมีโบราณสถานและงานศิลปกรรมสำคัญมากมาย เช่น พระมหาธาตุเจดีย์พระจอมไทยบารมีประกาศประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุอายุกว่า 2200 ปีที่อัญเชิญมาจากศรีลังกา ภาพจิตรกรรมฝาผนังพุทธประวัติของพระพุทธเจ้า กุฏิจำลองของหลวงพ่อ รูปหล่อยักษ์ “นนทรีย์” และตา “ขี้เหล็ก” เฝ้าพระประธาน “ท่านเจ้าวัด” ในวิหารเก่าแก่

สถานที่ตั้ง: อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรมหาวิหาร จังหวัดสุราษฏร์ธานี

12

มีองค์พระเจดีย์โบราณของลัทธิมหายานที่สร้างขึ้นในสมัยอาณาจักรศรีวิชัย รุ่งเรืองราวศตวรรษที่ 13-14 ถือเป็นสถาปัตยกรรมศรีวิชัยองค์เดียวที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ภายในวัดยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ อีก เช่น พระพุทธรูปเก่าแก่ทำด้วยศิลาแลงปางสมาธิและพระพุทธรูปเก่าแก่ต่างๆ ในระเบียงคดรายรอบองค์พระธาตุ และพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เป็นต้น

สถานที่ตั้ง: ตำบลเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี

——————————-

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก: skyscanner.co.th และ Travel MThai