ถึงฤดูฝนกันแล้ว สมาชิกผู้อ่านหลายท่าน กำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยว ที่เหมาะกับช่วงนี้อยู่ใช่ไหม? ทีมงาน Travel MThai จึงได้รวบรวม แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะกับช่วงหน้าฝน คงหนีไม่พ้น อุทยานแห่งชาติจากที่ต่างๆ ซึ่งการเดินทางมาเที่ยวยัง อุทยานฯ ในช่วงเวลานี้ นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสบรรดาต้นไม้ในป่าใหญ่ ที่มีสีเขียว สดจากน้ำฝนอยู่เสมอ ให้ความรู้สึกที่เย็นสดชื่น (ถึงขั้นหนาวก็เป็นได้) แต่ทว่าการเดินทางในช่วงฤดูฝนนี้ ในบางสถานที่ ต้องอาศัยความระมัดระวังอยู่เสมอ และต้องศึกษาข้อมูลที่เที่ยวดีๆ จะได้เดินทางปลอดภัย และเที่ยวสนุกอย่างราบรื่น กันนะครับ ^____^
เที่ยวหน้าฝน ที่อุทยานฯ ไหนดี?
1.อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว จ.อุตรดิตถ์
เที่ยวช่วงไหน : ช่วงเดือนสิงหาคม-ต้นตุลาคม
มีอะไรดู : กางเต๊นท์นอนบนลานสนภูสอยดาวจะเต็มไปด้วยพรรณไม้ดอกนานาชนิด เช่น หงอนนาค สร้อยสุวรรณา กระดุมเงิน บานสะพรั่งอวดความงามทั่วลานสนสามใบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุ่งดอกหงอนนาคสีม่วง ถือ ว่าเป็นนางเอกของภูสอยดาว ยามเช้าๆ บนลานสนของภูสอยดาวจะตกอยู่ภายใต้ทะเลหมอก นอกจากนี้ยังมีน้ำตกสายทิพย์ ให้ได้ยลโฉมความงามความชุ่มชื้นของมอสตะไคร้ที่เกาะตามโขดหิน เเละน้ำตกภูสอยดาว ตรงจุดเริ่มต้นเดินเท้าขึ้นภู น้ำใสไหลเเรงให้เราได้ลงไปเล่นน้ำผ่อนคลายหลังจากที่เดินภูหนักหนามาทั้งวัน
สามารถนำรถมาจอดตรงที่ ทำการอุทยานฯ จากนั้นใช้การเดินเท้าขึ้นภู (อย่างเดียว) ระยะทาง 6.8 กม. ใช้เวลาราวๆ 5-8 ชม. ต้องเตรียมเต๊นท์เเละอุปกรณ์เเค้มปิ้งไปเอง เรียกได้ว่า อยู่กับธรรมชาติมากๆ
………………………………………………………………
2.อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ
เที่ยวช่วงไหน : ต้นเดือนมิถุนายน ถึง ปลายเดือนกรกฎาคม
มีอะไรดู : “ทุ่งดอกกระเจียว” หลากหลายสายพันธุ์ สีชมพูสดใสที่พร้อมใจกันขึ้นรายรอบบริเวณ ของอุทยานฯ และมีสีเขียวของลำต้ันและก้านใบ ประกอบกับสีเขียวของหญ้าทีขึ้นมาแซม ทำให้ทุ่งดอกกระเจียวสวยงามเหมือนกับทุ่งในทรวงสวรรค์เลย ถ้าฝนตกชุกหน่อย พื้นดินเปียกชุ่มเจ้าดอกกระเจียวที่แสนสวยของเราก็จะขึ้น เยอะเต็มท้องทุ่ง มองไปทางไหนก็จะมีแต่สีเขียวชะอุ่ม และสีชมพูแกมขาว สวยอย่าบอกใครเลย
นอกจากนี้ ยังมี “ป่าหินงาม“ หรือ (ลานหินงาม) อยู่ทางทิศตะวันตกของที่ทำการอุทยานฯ ทั่วบริเวณเรียงรายไปด้วยหินก้อนน้อย ใหญ่ รูปร่างแปลก ๆ มากมายในพื้นที่กว่า 10 ไร่ เป็นลานหินซึ่งเกิดจากการกัดเซาะดินและเนื้อหินทรายมานานนับลานปี บ้างก็มีรูปรา่างเหมือนกับถ้วยฟุตบอลโลก บ้างก็เหมือนกบเรด้า และรูปต่าง ๆ แล้วแต่จะจินตนาการ แต่เมื่อดูแล้วชวนให้เกิดความเพลิดเพลินใจเป็นยิ่งนัก…
………………………………………………………………
3.อุทยานแห่งชาติไทรทอง อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ
เที่ยวช่วงไหน : ดอกกระเจียวที่นี่จะบานช้ากว่า อุทยานแห่งชาติ ป่าหินงาม เมื่อเที่ยว ทุ่งดอกกระเจียว ที่ป่าหินงามในช่วงเดือนมิ.ย.-ก.ค. แล้ว ยังมาเที่ยวที่ทุ่งดอกกระเจียว อุทยานแห่งชาติไทรทองได้อีกในช่วง ก.ค.-ส.ค.
มีอะไรดู : อุทยานแห่งชาติไทรทอง นั้นเป็นทุ่งดอกกระเจียวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของจังหวัดชัยภูมิ มีความพิเศษที่มีดอกกระเจียว2 สี คือ ดอกกระเจียวสีม่วงอมชมพู (ดอกบัวสวรรค์) และดอกกระเจียวสีขาว (ดอกบัวเทพอัปสร) โดยเส้นทางเดินดูดอกกระเจียว จะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มเส้นทางใหญ่ๆ
ใกล้ๆ อุทยานนั้นจะมี น้ำตกไทรทอง น้ำตกตาดโตน มอหินขาว เเละ จุดชมวิวที่ผาหำหด ผาหำหดมีลักษณะเป็นแผ่นดินที่ยื่นออก ไปติดหน้าผา มีความสูงประมาณ 864 เมตร จากระดับน้ำทะเล สามารถมองเห็นวิวทิวทัศนของอำเภอภักดีชุมพลได้อย่างชัดเจน เมื่อขึ้นไปยืนจะรู่สึกหวาดเสียวน่ากลัวสมชื่อ
………………………………………………………………
4.อุทยานแห่งชาติไทรโยค จ.กาญจนบุรี
เที่ยวช่วงไหน : ฤดูฝนซึ่งเป็นช่วงที่น้ำในน้ำตกมีมาก ประมาณเดือนกรกฎาคม ถึงตุลาคม
มีอะไรดู : น้ำตกไทรโยคน้อย อยู่ริมถนนแสงชูโตช่วงกม. 59 แวะเที่ยวได้ แบบไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงเป็นนํ้าตกขนาดกลางๆ ที่อาจจะไม่เหมาะกับการเล่นนํ้าสักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นจุดแวะพักที่เวิร์กทีเดียว เพราะนอกจากนํ้าตกที่สัมผัสได้ถึงอากาศบริสุทธิ์เย็นสดชื่นแล้ว ณ จุดนี้ยังเป็นตลาดของฝากที่คึกคัก โดยเฉพาะเมนูของทอด ทั้งกล้วยทอด มันทอด เผือกทอด หมูทอด เนื้อทอด อีกทั้งยังมีร้านอาหารมากมาย ให้ฝากท้องแบบหิวเลือกได้ และร้านขายของที่ระลึก ที่ยืนยันว่าคุณได้มาถึงไทรโยคแล้ว
บริเวณ น้ำตกไทรโยคน้อย ยังได้มีการนำหัวรถจักรไอน้ำสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาตั้งไว้เพื่อรำลึกถึงการสร้างทางรถไฟสายมรณะที่สร้างผ่านบริเวณหน้าน้ำตก เข้าสู่ประเทศพม่า ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทยได้จัดขบวนรถไฟสายน้ำตก พานักท่องเที่ยวไปชมน้ำตกแห่งนี้ ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ นอกจากนี้ยังมีรถโดยสารประจำทาง จากสถานีขนส่งอำเภอเมืองผ่านน้ำตกไทรโยคน้อย ซึ่งออกทุก 30 นาที ตั้งแต่เวลา 06.00 – 18.30 น.
น้ำตกไทรโยคใหญ่ เป็นน้ำตกคู่บ้านคู่เมืองของกาญจนบุรีมานาน ครั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จประพาสน้ำตกไทรโยค และได้รับความนิยมเรื่อยมา ภายในอุทยาน คุณสามารถเช่าบ้านพัก กางเต็นท์ ค้างคืนได้ มีร้านอาหารไว้คอยบริการ ทั้งยังมีบริการทัวร์ล่องเรือแม่น้ำแควน้อย ล่องแพชมความงามของธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์
………………………………………………………………
5.สุดยอดแห่งน้ำตก ทีลอซู อ.อุ้มผาง จ.ตาก
เที่ยวช่วงไหน : ไปช่วงต้นฝน มิ.ย. – ก.ค. สภาพเส้นทางที่ล่องเรือยางสวยมาก ต้นไม้เพิ่งออกใบใหม่สีเขียวสดป่าสวย น้ำตกพองาม
ไปช่วงกลางฝน ส.ค. – ต.ค. น้ำเยอะดี น้ำตกเต็มหน้าผา แต่ต้องเดินเข้าไป คนก็ไม่ค่อยมีเพราะไม่อยากเดิน
ไปช่วงหมดฝน พ.ย. – ธ.ค. สบายๆ ไม่ต้องเดิน นั่งรถถึงจุดพักแรม คนเยอะแต่น้ำเริ่มลดลง
ไปช่วงหนาวจน ม.ค. – เม.ย. คือว่าน้ำใสดี คนก็น้อย น้ำก็น้อย
มีอะไรดู : ส่วนใหญ่นิยมมาเป็นโปรแกรมเเพคเกจ 3 วัน 2 คืน คืนแรกล่องเรือยางจากตัวเมืองอุ้มผางมาตามแแม่น้ำแม่กลอง ไปนอนเต็นท์ที่ เขตรักษาพันธุ์ป่าอุ้มผางทีลอซู เช้ารุ่งขึ้นเดินเข้าไปชมน้ำตก แล้วเดินทางกลับรีสอร์ท คืนที่ 2 นอนรีสอร์ทสบายๆ เช้าวันรุ่งขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้น เเละทะเลหมอกที่ ดอยหัวหมด เป็นอันจบโปรแกรมทัวร์
การเดินทางจากอุ้มผางสู่ทีลอซู สามารถใช้รถ หรือล่องเรือก็ได้ เเต่ในหน้าฝนทางถนนเข้าจะปิด เเนะนำให้ล่องเรือไปตามเเม่น้ำเเม่กลอง จะได้ภาพธรรมชาติที่สวยงามมากว่า เพราะจะได้เห็นความสวยงามของ น้ำตกทีลอซู จ่อที่ตกลงมาจากหน้าผาสูงลงสู่ลำน้ำแม่กลอง ถัดจากนั้นมาไม่ไกลก็จะผ่านน้ำตกสายรุ้ง หากเดินทางไปในช่วงเวลาที่เหมาะสมก็จะเห็นรุ้งกินน้ำที่เกิดจากแสงที่ตก กระทบกับละอองน้ำของสายน้ำตก นอกจากนี้ยังมีน้ำตกริมทางให้ได้หยุดแวะเล่นน้ำกันอีกด้วย ระยะเวลาสำหรับการล่องเรือยางประมาณ 3-4 ชั่วโมง
เมื่อขึ้นจากเรือยาง จะต้องเดินเท้าหรือนั่งรถต่อไปยังจุดกางเต็นท์พักแรมที่เขต รักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง อีกประมาณ 10 กิโลเมตร วันถัดมาจึงจะได้ชื่นชมกับความงามของ น้ำตกทีลอซู น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดแห่งผืนป่าบริเวณทิศตะวันตกติดชายเแดนพม่า ทีลอซู เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า น้ำตกดำ มีลักษณะเป็นน้ำตกภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเล 900 เมตร เกิดจากลำห้วยกล้อท้อ ลำน้ำทั้งสายตกลงสู่หน้าผาสูงชัน มีน้ำไหลแรงตลอดปี ความกว้างของตัวน้ำตกประมาณ 500 เมตร ไหลลดหลั่นเป็นชั้น ๆ มีความสูงประมาณ 300 เมตร ล้อมรอบด้วยป่าดงดิบที่สมบูรณ์ เป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ของเอเชีย
………………………………………………………………
6.ล่องแก่งน้ำเข็ก สายน้ำเดือดแห่งพิษณุโลก
เที่ยวช่วงไหน : เดือนกรกฎาคม – ตุลาคม
มีอะไรดู : ไม่ว่าใครที่มีโอกาสไปสัมผัสที่นั่น ต่างบอกเล่าเป็นเสียงเดียวกันว่า “มันส์มากกกกก” แม้จะมีขนาดของลำน้ำที่ไม่ใหญ่นัก แต่ด้วยระดับความแรงของสายน้ำที่ไต่ระดับ ตั้งแต่ระดับ 1 ไปจนถึงระดับ 5 ทำให้ ลำน้ำเข็ก จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ติดอันดับท๊อปฮิตของนักล่องแก่ง ในเมืองไทย นักท่องเที่ยวสามารถนำเรือยางออกไป ล่องแก่ง เป็นหมู่คณะได้อย่างสนุกสนานปนหวาดเสียว ไปตามแก่งต่างๆ ที่เรียงรายอยู่เบื้องหน้า คุณจะได้พบกับแก่งสุดมันส์เกือบ 20 แก่ง ใช้ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร และใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงแล้วแต่กระแสน้ำ
………………………………………………………………
7.ล่องแก่งหินเพิง จ.ปราจีนบุรี
เที่ยวช่วงไหน : ที่นี่ มีเทศกาลล่องแก่งหินเพิง จัดขึ้นทุกๆ ปี ในช่วงเดือน กรกฎาคม ถึง เดือนตุลาคม ณ บริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ที่ 9 ตำบลสะพานหิน อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี
มีอะไรดู : แก่งหินเพิง เป็นแก่งหินตอนปลายสุด
ของแม่น้ำใสใหญ่ ซึ่งมีลักษณะทางธรณีวิทยา
เป็นชั้นหินทราย ครั้นเมื่อถึงฤดูฝน กระแสน้ำ
จะไหลหลากอย่างรุนแรง จนทำให้เกิดเกาะแก่งต่าง ๆ มากมาย
แก่งหินเพิงเป็นที่มีความเหมาะสมอย่างยิ่ง
สำหรับผู้ที่ชอบความท้าทายกับ สายน้ำ
อันเชี่ยวกราก โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน
ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม กระแสน้ำบริเวณแก่งหินเพิงจะไหลรุนแรงมาก การล่องแก่งที่นี่ใช้แพยางนั่งได้ประมาณ 8 -10 คน
ล่องในลำน้ำใสใหญ่ สภาพแก่งน้ำอยู่ในระดับ 3 -5
นักล่องแก่งจะต้องใช้ทักษะ และความชำนาญในการพายสูง
ความตื่นเต้นท้าทาย
การล่องแก่งสายนี้ จุดเด่นอยู่ที่ตัว แก่งหินเพิง อันเป็นจุดเริ่มต้นของการล่องแก่ง ตัวแก่งหินเพิง มีลักษณะเป็นลานหินหักเทลื่นลงมาจนเกิดเป็นกระแสน้ำวน และเชี่ยวกราก ต้องใช้ความสามารถ และทักษะในการพายเป็นอย่างยิ่ง
จากจุดเริ่มต้นเหนือ แก่งหินเพิง ลงมาจะผ่าน แก่งวังบอน บริเวณนี้มีโขดหินสองฝั่งขวางกระแสน้ำอยู่ บีบให้กระแสน้ำเข้าหากัน
เป็นรูปตัววี และถ้าผ่านแก่งวังบอนมาได้ กระแสน้ำหลังแก่งวังบอนจะไหลย้อนทิศทางตรงนี้สามารถพักเรือบริเวณนี้ได้
ล่องเรือต่อมาจะพบกับ แก่งลูกเสือ ซึ่งมีความสนุกสนานเร้าใจไม่แพ้แก่งหินเพิง และผ่านไปจนถึง แก่งวังไทร และ แก่งงูเห่า
ซึ่งเป็นแก่งสุดท้ายของการล่องแก่ง สายน้ำช่วงนี้แก่งวังไทรจะมีลักษณะเป็นคลื่นใหญ่ม้วนตัวขึ้นเป็นวง สร้างความตื่นเต้น
เร้าใจได้พอสมควร
………………………………………………………………
8.นอนแพหน้าฝน เขื่อนเชี่ยวหลาน กุ้ยหลินเมืองไทย
เที่ยวช่วงไหน : เที่ยวได้ตลอดทั้งปี เพราะมีลักษณะเป็นเขื่อนปิด เเต่หน้าฝนก็จะมีหมอกเยอะลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือเขาหินปูน ดูสวยชุ่มฉ่ำดี
มีอะไรดู : เขื่อนรัชชประภา หรือที่เรียกกันติดปากว่า กุ้ยหลินเมืองไทย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นที่สุดของอุทยานแห่งชาติเขาสก ทัศนียภาพโดยทั่วไปภายในอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนรัชชประภา มีทัศนียภาพที่สวยงามมาก นักท่องเที่ยวทุกคณะที่ไปเห็นล้วนประทับใจ ภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นภูเขาหินปูนที่สูงชัน ล้อมรอบไปด้วยผืนน้ำที่กว้างใหญ่ ด้วยความลึกของระดับน้ำ กรอปกับสีของตะไคร้น้ำที่อยู่เบื้องล่าง ทำให้น้ำในเขื่อนมีสีเข้มเหมือนสี มรกต จนนักท่องเที่ยวหลายท่านคิดว่าเป็นน้ำทะเล ลักษณะภูมิประเทศไปคล้ายกับภูมิประเทศที่เมืองกุ้ยหลินประเทศจีน จึงได้ฉายาว่า กุ้ยหลินเมืองไทย
นอกจาก เขื่อนรัชชประภา จะมีทัศนียภาพที่สวยงามแล้ว พื้นที่รายรอบเขื่อนยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีก เช่น “เขาสามเกลอ“ แก๊งค์เขาหินปูนสามหน่อที่แช่นํ้าใสสีฟ้าสวย รอให้ผู้คนไปเยี่ยมชม ถ่ายภาพคู่เป็นที่ระลึก
“ถ้ำปะการัง” อยู่เขตของทะเลใน นั่งแพไม้ไผ่ไปไม่ไกล ก็ถึงถํ้าหินงอกหินย้อยที่ไม่เหมือนถํ้าอื่นๆ เพราะหินงอกหินย้อยที่ถํ้าปะการังนี้จะแตกหน่อเล็กๆ คล้ายปะการังในทะเล ดูแปลกตา… คราวนี้เราก็จะได้ชมปะการังบนบกกันล่ะ
“จุดชมวิวเขื่อนเชี่ยวหลาน“ เป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจ อยู่บนเขาสูงซึ่งจะต้องเดินป่าไต่ความสูงขึ้นไป จากจุดชมวิว เมื่อมองลงมาจะเห็นเกาะแก่งน้อยใหญ่ที่รายรอบอยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำ อันนี้ค่อนข้างต้องใช้ความพยายาม (และความถึก) ในการเดินป่ากันนิดนึง แถมอาจจะต้องผจญกับฝูงทากตัวน้อยๆ ถ้าอยากไปเดินอย่าลืมพกถุงกันทากมาด้วยนะ
………………………………………………………………
9.ฝนโปรยปราย ไอหมอก ฤดูกะหล่ำปลี บนภูทับเบิก
เที่ยวช่วงไหน : เที่ยวได้ดีในฤดูหนาว เเต่ฤดูฝนใช่ว่าจะเที่ยวไม่ได้นะ หลายๆคนถามว่า กะหล่ำปลีมีช่วงไหน ช่วงนี้มีกะหล่ำปลีอยู่ไหม
คำตอบแบบ ฟันธง !!
กะหล่ำปลีภูทับเบิกมี 2 ช่วง
…
ช่วงที่ 1 ตั้งแต่ กลางเดือน พฤษภาคม – กรกฎาคม
ช่วงที่ 2 เดือน ตุลาคม – กลางเดือน ธันวาคม
มีอะไรดู : เมื่อฝนโปรยปราย กะหล่ำปลี เริ่มเขียวขยายๆ เป็นวงกว้างทั่วภูทับเบิก ไอหมอก และความหนาว ก็เข้ามาเยือนอีกครั้ง ความสวยงาม บรรยากาศ หามิได้จากที่ไหน กะหล่ำปลี กำลังเริ่มเขียวจนจะทั่ว ภูทับเบิก ใครหลายๆคนที่อยากเห็นไร่กะหล่ำปลีบนภูทับเบิกก็เตรียมตัว เตรียมตังค์มาเที่ยวช่วงนี้เป็นต้นไปได้เลย นอกจากไร่กะหล่ำปลีแล้ว ภูทับเบิกหน้าฝน มีหมอกลงตลอดวัน ในบางวันช่วงเช้าๆ มีทะเลหมอกที่สวยงามมาก และมีโอกาสเห็นมากกว่าหน้าหนาวอีก หมอกในตอนเช้าๆสีขาวนวล ท้องฟ้าสดใส สวยกว่าในตอนหน้าหนาวมากทีเดียว ส่วนเรื่องอุณหภูมิหน้าฝนแบบนี้ไม่เคยเกิน 30 องศาเซลเซียส เฉลี่ย 27-28 องศา ส่วนกลางคืน 18-20 องศา หนาวตลอดปีจริงๆ ขนาดหน้าร้อนยังไม่ร้อนเลย แล้วหน้าฝนจะร้อนได้ยังไงจริงไหมหละ
………………………………………………………………
10.ปืนผา..โรยตัว “น้ำตกธารรัตนา” จ.ปราจีนบุรี
เที่ยวช่วงไหน : ช่วงหน้าฝนก็ควรเป็นช่วงที่ฝนตกไม่ชุกมาก ปริมาณน้ำตกกำลังสวยงาม และไม่อันตรายจนเกินไป หรือช่วงปลายฝนต้นหนาวก็ยังพอได้อยู่นะ
มีอะไรดู : “น้ำตกธารรัตนา“ เป็นน้ำตกที่มีความสวยงาม เกิดจากคลองวังบอน มีต้นน้ำจากเขาสมอปูน ตั้งอยู่ที่ตำบลเนินหอม ระยะทางประมาณ 100 เมตร จากถนนสายเนินหอม-เขาใหญ่ กม.ที่ 16 ห่างจากที่ว่าการอำเภอเมืองปราจีนบุรีประมาณ 25 กิโลเมตร
การโรยตัวที่ น้ำตกธารรัตนา ต้องเตรียมสภาพร่างกายและสภาพจิตใจให้พร้อม ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ฝึกสอนการโรยตัวอย่างเคร่งครัด เนื่องจากน้ำตกธารรัตนามีความสูงรวมหลายร้อยเมตร ธารน้ำตกจะตกลงด้านหนึ่ง เราก็ต้องโรยตัวปีนลงมาอีกด้านหนึ่ง และต้องโรยตัวรวม 4 ชั้น แต่ละชั้นก็จะมีความชันประมาณ 70 – 90 องศา และความสูงมีตั้งเเต่ 15- 20 เมตร ไปจนถึง ประมาณ 60 เมตรเลยล่ะ!!
ส่วนใหญ่เเล้วการมาโรยตัวที่น้ำตกแห่งนี้ สำหรับคนใจกล้าก็จะใช้เเพคเกจ “โรยตัว 4 ผา 5 น้ำตก“ คือ ผสมผสานระหว่างกิจกรรมผจญภัย 3 รูปแบบ ได้แก่ โรยตัวจากหน้าผา เดินป่า และพายเรือแคนูน้ำเรียบโดยใช้เส้นทางน้ำตกธารรัตนาซึ่งประกอบไปด้วยหน้าผา 4 แห่งและน้ำตก 5 แห่ง โรยตัวลงสู่อ่างเก็บน้ำวังบอนและพายเรือแคนูเข้าฝั่งอีก 800 เมตร รวมระยะทางการเดินทางประมาณ 4.5 กิโลเมตร
………………………………………………………………
11.อุทยานแห่งชาติพุเตย จ.สุพรรณบุรี
เที่ยวช่วงไหน : เที่ยวได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะตั้งแต่เดือนตุลาคม ปลายฝน ต้นหนาว จะให้บรรยากาศที่เย็นสบายจากไอฝนท่ามกลางป่าไม้
มีอะไรให้ดู : ป่าสนสองใบธรรมชาติ มีประมาณกว่า 1,300 ต้น อยู่บนเทือกเขาพุเตยเป็น ป่าแปลกมหัศจรรย์เพราะป่าสนจะเจริญเติบโตในพื้นที่ภูเขาสูงชัน มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,000 เมตรขึ้นไป แต่ป่าสนแห่งนี้เจริญเติบโตบนพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลเพียง 763 เมตรเท่านั้น สภาพป่าสมบูรณ์มาก จนได้รับเลือกให้เป็นศูนย์แม่พันธุ์ไม้สนสองใบในภาคกลาง บางต้นมีขนาดใหญ่วัดได้ถึง 2-3 คนโอบ ห่างจากที่ทำการหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ที่ 1 (พุเตย) ประมาณ 12 กิโลเมตร
น้ำตกตะเพินคี่น้อย เป็นน้ำตกขนาดเล็กอยู่ใกล้กับหมู่บ้านตะเพินคี่ มีน้ำไหลตลอดปี เป็นความงดงามทางธรรมชาติ ที่คนภายนอกไม่ค่อยได้มีโอกาสไปสัมผัส เหมาะสำหรับผู้ที่รักการเดินทางแบบผจญภัยเล็กๆ
น้ำตกตะเพินคี่ใหญ่ เป็นน้ำตกขนาดเล็กมีสองชั้น ความสูงประมาณชั้นละ 5-6 เมตร มีน้ำไหลตลอดปี
เพราะเป็นต้นน้ำและบ่อน้ำผุด ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และยังมีถ้ำที่สวยงามที่ยังอยู่ระหว่างการสำรวจ
………………………………………………………………
ขอบคุณข้อมูล: ชิลไปไหนดอทคอม และภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
เรียบเรียงโดย : Travel MThai