ตะลุยเหนือสุดเกาะ Hokkaido ที่เมือง Wakkanai (วักกะไน) ประเทศญี่ปุ่น

1

ถ้าพูดถึงประเทศญี่ปุ่น คนไทยเราจะนึกถึง สถานที่เที่ยวในโตเกียว เกียวโต โอซาก้า ฟุกุโอกะ ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าอยากลองสัมผัสฟิวธรรมชาติ ได้เจอกวาง หรือ สุนัขจิ้งจอกตัวเป็นๆ ออกมาเดินหากินให้เห็นเป็นเรื่องปกติ หรืออยากจะลิ้มรสซาซิมิ อาหารญี่ปุ่นสดๆ หวานฉ่ำอย่างแท้จริง ต้องห้ามพลาด!! ที่ วักกะไน (Wakkanai) เมืองเหนือสุดของเกาะ Hokkaido ประเทศญี่ปุ่น

วักกะไน (Wakkanai)
ฟาร์มเลี้ยงวัวชั้นยอด ของฮอกไกโด

2

วักกะไน (Wakkanai) มีความหมายว่า “แม่น้ำหนาวเย็น” ดินแดนรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในกิ่งจังหวัดโซยะ ของจังหวัดฮอกไกโด และจัดว่าเป็นเมืองที่อยู่เหนือสุดในประเทศญี่ปุ่น โอบล้อมด้วยทะเลโอโคสึ (Okhotsk) เมืองวักกะไนมีประชากรอาศัยอยู่ 35,051 คน แบ่งเป็นเมือง ตำบล และหมู่บ้านได้ 10 แห่ง ผู้คนในเมืองวักกะไนส่วนใหญ่จะทำอาชีพประมง โดยเฉพาะอาหารทะเล แปรรูปสินค้าทะเล และอาชีพชาวไร่ชาวนาปลูกข้าว มีฟาร์มเลี้ยงวัวชั้นยอดของฮอกไกโดอีกด้วย

“ดาชิโนะซุเกะ”
มาสคอตประจำเมืองวักกะไน (Wakkanai)

3 4

ความน่ารักของประเทศญี่ปุ่น ก็คือแต่ละเมืองเขาจะคิดตัวมาสคอตขึ้นมา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนั้นๆ สำหรับมาสคอตของเมืองวักกะไน ก็คือ เจ้าดาชิโนะซุเกะ เป็นแมวน้ำลายจุด ที่มีลำตัวด้านล่างเป็นสาหร่าย เพราะวักกะไนมีแมวน้ำลายจุด และสาหร่ายทะเล”ริชิริ” (Rishiri) อยู่เป็นจำนวนมาก

หลายคนเพิ่งเคยได้ยินชื่อเมือง Wakkanai (วักกะไน) เป็นครั้งแรก!! และสงสัยว่าเหนือสุดของเกาะ Hokkaido ประเทศญี่ปุ่นขนาดนี้!! จะมีอะไรน่าเที่ยว? วันนี้ Travel.MThai จึงถือโอกาสแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในเมือง Wakkanai เด็ดๆ ที่ต้องไปสัมผัสด้วยตา และคุณจะหลงเสน่ห์เมืองนี้

 แหลมโซยะ (Soya Cape)
จุดเหนือสุดของญี่ปุ่น เมือง Wakkanai

5

เป็นแลนค์มาร์คที่ทุกคนต้องไป หรือที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า Soya Misaki (โซยะ มิซากิ) เพื่อถ่ายรูปคู่กับจุดที่อยู่เหนือสุดของญี่ปุ่นให้ได้สักครั้ง  “The Northernmost Point in Japan” จากมุมนี้ด้านหน้าแหลมโซยะ ถ้าวันที่อากาศดีๆ จะเห็นเกาะใหญ่ฝั่งตรงข้ามคือ เกาะซาคาลิน (Sakhalin island ) ของประเทศรัสเซีย ระยะห่างเพียงแค่ 43 กิโลเมตรเท่านั้น

6

ไม่ไกลจากแหลมโซยะ มีรูปปั้นของ มามิยะ รินโซ (Mamiya Rinzo) หันหน้าไปทางทิศที่เป็นที่ตั้งของเกาะซาคาลิน นั้นเพราะเขาคือนักสำรวจที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นในปลายสมัยโชกุน  และเป็นผู้ค้นพบเกาะซาคาลิน

7

ชมพระอาทิตย์ตกดินที่นี่ สวยมาก

8

ส่วนเกาะเล็กๆ ทางซ้ายมือ คือเกาะริชิริและเกาะเรบุน อุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเสียงด้านความงามของธรรมชาติและพืชพันธุ์ที่แปลกกว่าที่อื่น สามารถเดินทางไปได้ด้วยเรือโดยสาร Heart Land Ferry

9

อาคารสีฟ้านี้ เป็นร้านขายของที่ระลึก ไฮไลท์!! เมื่อเรามาถึงที่นี่ สามารถซื้อใบประกาศ (ราคา 100 เยน) เพื่อเป็นที่ระลึกว่าเรามาที่แห่งนี่แล้ว พร้อมประทับตราวันเวลาเสร็จสรรพ

10
********************************************************

แนวกำแพงกันคลื่นลม สัญลักษณ์เมืองแห่งลม
(Breakwater Dome) 

11

มีลักษณะเป็นโดมกำแพงกันคลื่นลมทรงโค้ง สูงถึง 13 เมตร ยาว 427 เมตร เลียบตามแนวชายฝั่ง สร้างขึ้นในปี 1936 เพื่อป้องกันคลื่นและลมที่พัดเข้ามาในท่าเรือ ภายในถูกประดับด้วยเสาตามแบบโรมัน เรียกว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามจนกลายเป็นจุดถ่ายรูปที่มีชื่อเสียงของเมืองอีกแห่ง

12 13

ทางม้าลายตรงนี้ชิคสุดๆ ต้องมาเดินข้าม แล้วถ่ายภาพเหมือนวง The Beatles กันนะ

14

วิถีฮิปสเตอร์

15 16

ในเมื่อถนนมันโล่ง!!!

********************************************************

หาดูยาก “ถ้ำหินปูน” อายุกว่า 2 ล้าน 6 แสนปี
ถ้ำ นากะทมเบตสึ
(Nakatombetsu Cave)

17 18

ดินแดนที่เต็มไปด้วยรอยเท้าของสัตว์ป่า อย่าง สุนัขจิ้งจอก กระรอก หรือหมี แต่ที่พบได้มากที่สุด คือ กระรอกป่า และพันธุ์ไม้ต่างๆ ที่อุดมสมบูรณ์ หากมีโอกาสเดินทางในช่วงเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน เราจะได้เห็น ทุ่งพิงค์มอสสีชมพู ปกคลุมโดยรอบ

19 20

การเดินป่า อีกจุดมุ่งหมายก็เพื่อไปเยือนถ้ำหินปูน ภายในถ้ำ สามารถชมความสวยจากธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากความเป็นกรดของน้ำฝนค่อยๆ กัดกร่อนหินปูนไหลหยดลงมาเกิดเป็นถ้ำหินปูนนี้ขึ้น ตั้งแต่มหายุคซีโนโซอิก หรืออายุกว่า 2 ล้าน 6 แสนปีก่อน เรียกว่าหาดูได้ยากทั้งในญี่ปุ่นและในทางวิทยาศาสตร์

21 22 23 24

ก่อนเข้าจะต้องสวมหมวกอุปกรณ์ Safety ด้วย เนื่องจากระหว่างทางเดินเข้าไปในถ้ำ ต้องระวังศีรษะอาจโดนเพดานถ้ำที่ต่ำลงมาได้ และมีบางช่วงก็เป็นช่องแคบมากๆ ที่ต้องก้มตัวเดิน รวมไปถึงในถ้ำต้องใช้ไฟฉายส่องในการเดินทาง และเพื่อส่องดูความสวยงามตามเพดานถ้ำหินปูนที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ

25 26 27

ด้านในอากาศเย็นมาก จนน้ำกลายเป็นน้ำค้างเลย

28

********************************************************

เมืองที่ได้รับการขนานนามว่า “หอยเชลล์อร่อยที่สุด”
ซารุฟุตสึ มารุโกโตแกน
(Sarufutsu Marugotokan)

29 30

ด้านนอกร้านเป็นทุ่งหญ้าสีเขียว ตัดกับขอบฟ้าสีฟ้า อากาศดีมากๆ

ร้านนี้ตั้งอยู่ในบริเวณจุดพักรถ Sarufutsu Park  เป็นร้านท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงเรื่องหอยเชลล์อร่อยและชื่อดังที่สุดในฮอกไกโด ชาวญี่ปุ่นเรียกหอยเชลล์ว่า “หอยโฮตาเตะ” 

32

ไฮไลท์เด็ดสุดๆ ของที่นี้ เราสามารถเลือกตักหอยเชลล์ได้เองแบบสดๆ จากในตู้กระจก ลองแกะเอง ล้างเอง ย่างเอง อร่อยสุดๆ

33 34 35

เห็นหอยเชลล์ที่ตัวใหญ่บิ๊กเบิ้มขนาดนี้ นั่นเพราะที่นี่เขาใช้เวลาเลี้ยงหอยเชลล์ ถึง 5 ปีเลยนะคะ (ปกติเลี้ยงกันแค่ 3 ปี) ราคาของหอยเชลล์ตัวนึงอยู่ที่ 200 เยน หรือราวๆ 60 บาท แต่ถ้าย่างกินที่ร้านตัวละ 350 เยน หรือ 110 บาท มาพร้อมเซตเตาเล็กๆ เนยฮอกไกโด และโชยุจากเกาะชิโกกุ (Shikoku)

36

นอกจากนี้ยังมีเมนูอื่นๆ อย่าง ข้าวหน้าหอยเชลล์ ปูขน และไข่แซลมอน ของขึ้นชื่อของ Sarufutsu อร่อยสดเว่อร์ ราคายกเซท 1,200 เยน (ภาพชวนน้ำลายไหล)

37

38

ภายในร้านมีผลิตภัณฑ์แปรรูปสินค้าทะเล จำหน่ายให้แก่ลูกค้านักท่องเที่ยว

39 40

********************************************************

เส้นทางโรแมนติก เต็มไปด้วยเปลือกหอยสีขาว
ตลอดเส้นทางกว่า 3 กม.
โซยะ คิวเรียว (Soya Kyuryo)

41

สถานที่ UNSEEN ที่ห้ามพลาด! เมื่อมาถึง Wakkanai  คือที่ โซยะ คิวเรียว (Soya Kyuryo) หรือรู้จักกันในชื่อ “เส้นทางสีขาว” เป็นเส้นทางที่ปูด้วยเปลือกหอยเชลล์ หรือ หอยโฮตาเตะ ทั้งหมด ตลอดทางยาวเป็นระยะกว่า 3 กม. มุ่งหน้าสู่อ่าวโซยะ ยิ่งถ้าช่วงอากาศดีๆ เราจะได้เห็นวิวภูเขาไฟริชิริ หรือ ริชิริฟูจิ (Rishiri-Fuji) โรแมนติกมากๆ

********************************************************

ชาบูเนื้อปลาหมึก Octopus
ร้านนี้ได้ชื่อว่า อร่อยที่สุด
Kurumaya Genji

42
อีกหนึ่งร้านที่อยากแนะนำของเมืองนี้ เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีเมนูเด็ด อย่าง Octopus Shabu Shabu ชาบูเนื้อปลาหมึก Octopus (คิดถึงหมึกพอลที่มันทายผลบอลโลกขึ้นมาเลย^^)

43

วิธีการทานให้อร่อย นำเนื้อปลาหมึก Octopus มาแกว่งในน้ำเดือดๆ บนหม้อชาบู 5 ครั้งเท่านั้น ทานคู่กับน้ำจิ้มชาบู จะได้ลิ้มรสความสดหวานกำลังดี นอกจากนี้ก็ยังมี เนื้อปู และไข่หอยเม่น (ดีงามมาก) ทานคู่กับข้าวสวยที่โป๊ะไข่แซลมอนเม็ดโตๆ ก่อนทานราดด้วยน้ำซอสโชยุผสมวาซาบิ อร่อยมาก

44 45

********************************************************

โรงแรมที่พักใกล้สถานีรถไฟ (JR)
ANA Crowne Plaza Wakkanai

46

สำหรับโรงแรมที่พักที่น่าสนใจ สะอาด ปลอดภัย และยังอยู่ใกล้ สถานีรถไฟ ( JR ) มากๆ สะดวกในการเดินทาง ก็ต้องที่นี้เลย แถมที่โรงแรมนี้มีรถจักรยานให้บริการด้วย

47 48

********************************************************

วิธีการเดินทางมาเมือง Wakkanai ด้วยตัวเอง

  1. แบบเร่งรีบ
    สามารถนั่งเครื่องบินใบพัดของ ANA โดยขึ้นจากสนามบิน Chitose หรือ สนามบิน Haneda ไปลงที่ Wakkanai ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง

49

  1. นั่งรถไฟญี่ปุ่น Japan Rail ( JR ) มาลงสถานีปลายทาง Wakkanai

50

    3. รสบัส Soya Busจากซัปโปโร มาลงWakkanai

สนใจเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://th.visit-hokkaido.jp/

ขอขอบคุณผู้สนับสนุนการเดินทาง : องค์กรการท่องเที่ยวฮอกไกโด

 

ห้ามพลาด! 10 ที่เที่ยวมรดกโลกในญี่ปุ่น

1

ประเทศญี่ปุ่น เมืองน่ารัก และเป็นเมืองแห่งธรรมชาติ ที่ใครไปแล้วก็หลงรัก ไปแล้วต้องกลับไปเที่ยวอีก วันนี้เรามี 10 สถานที่เที่ยวมรดกโลกในญี่ปุ่น มาฝากกัน ที่ใครไปแล้วต้องห้ามพลาดเด็ดขาด!

ห้ามพลาด! 10 ที่เที่ยวมรดกโลกในญี่ปุ่น

  1. ฟูจิ

2

ภูเขาไฟฟูจิถือเป็นสัญลักษณ์คู่กับประเทศญี่ปุ่น เมื่อใครนึกถึงญี่ปุ่นก็ต้องนึกถึงภูเขาไฟฟูจิ ฟูจิถือเป็นความภาคภูมิใจของคนญี่ปุ่น เพราะมีคุณค่าทางทั้งด้านจิตใจและวัฒนธรรม วิวทิวทัศน์สวยงาม และธรรมชาติก็อุดมสมบูรณ์

นอกจากนี้ยังได้จดทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 3 สาเหตุที่ทำให้ภูเขาไฟฟูจิได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเพราะ รูปแบบภูเขาไฟฟุจิและกิจกรรมต่อเนื่องเป็นแรงบันดาลใจจนกลายเป็นวิถีปฏิบัติทางศาสนาที่เชื่อมโยงผู้คนที่นับถือศาสนาชินโต และธรรมชาติเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ ภูเขาไฟฟุจิยังเป็นแรงบันดาลใจต่อศิลปินในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในการผลิตภาพเขียนที่มีลักษณะทางวัฒนธรรม ซึ่งทำให้ภูเขาไฟลูกนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

  1. ศาลเจ้าอิสึคุชิมะ

3

ศาลเจ้าอิสึคุชิมะ ตั้งอยู่ที่เขตปกครองฮิโรชิมา เมืองคัทศึไคชิ บรเกาะมิยาจิม่า เป็นศาลเจ้าในศาสนาชินโต ได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลก ถูกสร้างขึ้นมาในช่วงกลางศตวรรษที่ 16 และได้มีการสืบต่อการออกแบบต่อในช่วงศตวรรษที่ 12

ศาลเจ้าอิสึคุชิมะ มีลักษณะคล้ายแพ สามารถลอยน้ำได้ เมื่อสมัยสงครมศาลเจ้าอิสึคุชิมะเคยถูกทำลายไปหลายครั้ง แต่ตึกแรกของศาลเจ้าอิสึคุมะไม่ได้ถูกทำลายไปด้วยจึงยังอยู่มาจนถึงทุกวันนี้

  1. วัดไดโกจิ

4

วัดไดโกจิ เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของศาสนาพุทธในประเทศญี่ปุ่น และยังได้รับการขึ้นชื่อเป็นหนึ่งในมรกดโลกอีกด้วย โดยวัดไดโกจิจะเป็นวัดที่กินพื้นที่ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองเกียวโต

วัดไดโกจิ มีอาคารที่สวยงามและน่าสนใจอยู่มากมาย โดยจะสวยงามเป็นพิเศษในช่วงที่ดอกซากุระบาน จุดสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาชมก็คือ อาคารเบนเทนโดะ ที่อยู่ติดกับสระน้ำที่ด้านหลังของพื้นที่นี้ ซึ่งจะสวยงามมากในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี และยังมีทางเดินที่สามารถใช้ปีนภูเขาขึ้นไปเดินเล่นท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม  ด้านบนจะยังมีศาลาไม้ขนาดใหญ่ พร้อมกับวิวที่จะเห็นพื้นที่โล่งกว้างใหญ่ ถ้าอากาศสดใส ท้องฟ้าโปร่ง จะสามารถมองเห็นเมืองโอซาก้าได้เลยทีเดียว

  1. ชิราคาวาโกะ

5

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ หรือ หมู่บ้านในฝัน ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดกิฟุและโทยาม่า ซึ่งหมู่บ้านชิราคาวาโกะได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม เพราะมีการสร้างแบบเฉพาะตัวที่เรียกว่า “กัสโซ” ที่เหมือนกับสองมือพนม เป็นการออกแบบการสร้างบ้านเพื่อให้สามารถรองรับน้ำหนักของหิมะที่ตกหนักในช่วงฤดูหนาวได้ดี

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ กำลังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตในทัวร์ญี่ปุ่นตอนนี้ และสามารถไปเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่จะได้รับความนิยมมากในช่วงฤดูหนาวประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์เพราะจะมีหิมะตกปกคลุมไปทั่วพื้นที่ของหมู่บ้าน และจะมีการเปิดไฟในตอนกลางคืนเพื่อความสวยงาม

  1. วัดโทไดจิ

6

โทไดจิ ตั้งอยู่ที่เมืองนารา ภูมิภาคคันไซ ถือเป็นโบราณสถานที่มีความเก่าแก่และสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นและยังถือว่าเป็นวัดที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในนาราเลยก็ว่าได้

วัดโทไดจิ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 752 ในช่วงที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด สิ่งก่อสร้างที่สำคัญของวัดนี้ คือ วิหารไม้หลังใหญ่ ไดบุตสึเดน ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานองค์หลวงพ่อโต (ไดบุตสึ) ว่ากันว่าเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แม้ว่าวิหารไม้ที่เห็นในปัจจุบันนี้มีขนาดเพียงแค่ 2 ใน 3 ของวิหารหลังเดิมที่เคยถูกไฟไหม้ไปจากภัยสงคราม แต่ก็ยังคงมีความยิ่งใหญ่จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

  1. ศาลเจ้านิกโกโทโชงู

7

ศาลเจ้านิกโกโทโชงู เป็นหนึ่งในศาลเจ้าของศาลเจ้าและวัดของนิกโก ซึ่งเป็นมรดกโลกและเป็นศาลเจ้าที่อุทิศให้แก่โชกุนโทะคุงะวะ อิเอะยะซึ หรือก็คือโชกุน ยุคแรกของยุคเอโดะ ยาวนานกว่า 260 ปี

  1. ปราสาทฮิเมจิ

8

ปราสาทฮิเมจิ เป็นปราสาทญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในเมืองฮิเมจิ จังหวัดเฮียวโงะ เป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่เหลือรอดมาจากยุคสงคราม และได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกและสมบัติประจำชาติญี่ปุ่นเมื่อเดือนธันวาคม ปี 1993 ถือว่าเป็น 1 ใน 3 ปราสาทที่มีงดงามที่สุดในญี่ปุ่น

ปราสาทฮิเมจิยังมีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นนิยมเรียกในชื่อว่า ปราสาทนกกระสาขาว ซึ่งมีที่มาจากพื้นผิวปราสาทภายนอกซึ่งมีสีขาวสว่าง ในปัจจุบันปราสาทฮิเมจิได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติประจำชาติญี่ปุ่น

  1. หมู่เกาะโองาซาวาระ

9

หมู่เกาะโองาซาวาระ (Ogasawara Islands) หรือหมู่เกาะโบนิน (Bonin Islands) เกาะร้างห่างไกลฉายา “กาลาปาโกสแห่งตะวันออก” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเกาะภูเขาไฟในมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากโตเกียวไปทางทิศใต้ประมาณ 1,000 กิโลเมตร ใช้เวลานานถึงเกือบ 25.5 ชั่วโมง! แต่ก็คุ้มค่ากับการรอคอย

โดยหมู่เกาะแห่งนี้ประกอบด้วย 2 เกาะใหญ่ คือ เกาะชิชิจิมะและเกาะฮาฮาจิมะทั้งสองเกาะรายล้อมไปด้วยชายหาดที่สวยงาม แนวปะการัง และป่าที่ปกคลุมเนินเขา นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ เช่น ว่ายน้ำกับโลมา เดินป่า พายเรือคายัค ดูปะการัง และดำน้ำ

สิ่งที่ทำให้องค์การยูเนสโกขึ้นทะเบียนหมู่เกาะโอกาซาวาระให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติเมื่อปี คือ ภูมิลักษณ์เป็นเกาะโดดเดี่ยว เนื่องจากหมู่เกาะไม่มีทางเชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ของญี่ปุ่น หรือทวีปใดใด ทำให้มีความหลากหลายของพันธุ์สัตว์และพืชหายาก มีเฉพาะที่นี่ที่เดียว ดังนั้นเพื่อการรักษาสภาพแวดล้อมให้คงสภาพเดิม นักท่องเที่ยวห้ามนำเข้าเมล็ดพันธุ์หรือสัตว์ใดใดเข้ามาบนเกาะโดยเด็ดขาด

  1. เทือกเขาชิระกะมิ

10

เกาะยากุ จังหวัดคาโงชิมะ ที่อยู่ทางใต้สุดของเกาะคิวชูประมาณ 60 กิโลเมตร ภูมิประเทศแถบนี้มีลักษณะเป็นภูเขาสูง และมีอากาศค่อนข้างอบอุ่น จึงทำให้ป่ายากุชิมะเป็นผืนป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางด้านระบบนิเวศ และยังมีฝนตกชุกตลอดทั้งปี มากกว่าฝนตกทั่วประเทศญี่ปุ่นถึง 5 เท่า

เสน่ห์ของป่ายากุชิมะแห่งเกาะยากุที่นักท่องเที่ยวทุกคนที่เดินทางมาถึงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันก็คือ ความลึกลับของป่าอันเงียบสงบที่ปกคลุมไปด้วยหญ้ามอส หินแกรนิตหลากหลายขนาดที่กระจัดกระจายไปทั่ว รวมทั้งต้นไม้ใหญ่ไซส์หลายคนโอบที่หยั่งรากและแผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้ม ทั้งนี้ยากุชิมะยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าโดยเฉพาะฝูงกวางและฝูงลิงที่มีมากกว่า 13,000 ตัว เรียกว่ามีจำนวนมากกว่าผู้คนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่เสียอีก

นอกจากนั้น เกาะยากุ ยังมีชายหาดยาวเหยียดอันประกอบไปด้วยทรายสีขาวเม็ดละเอียด น้ำทะเลสีฟ้าคราม เต่าทะเลขนาดยักษ์ และฝูงปลาบินที่ใช่ว่าจะหาดูได้ง่ายๆ จึงไม่แปลกใจเลยที่ป่าดึกดำบรรพ์ยากุชิมะแห่งนี้ได้รับการแต่งตั้งจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติในปี ค.ศ. 1993 และกลายมาเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

  1. เทือกเขาชิระคะมิ

11

เทือกเขาชิระคะมิเป็นเทือกเขาธรรมชาติโดยไม่ถูกทำลายโดยมนุษย์ ที่นี่ถูกเรียกว่า ป่าธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออก มีสัตว์หลากหลายชนิดอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ประกอบด้วย หมีดำเอเชียและลิงญี่ปุ่น ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติหมายเลขหนึ่งของญี่ปุ่นในปี 1993

เทือกเขาชิราคมิ มีเส้นทางเดินป่าเช่น Anmonno takihodo และ Juniko ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีชื่อเสียง อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่ต้องการท้าทายตัวเองสามารถเลือกการปีนเขาได้เช่นกัน เส้นทางที่ได้รับความนิยมคือ Shirakamidake Mate mountain ซึ่งเป็นเส้นทางการปีนเขาเพื่อไปยังภูเขาที่มีชื่อเสียงหนึ่งใน 200 ของญี่ปุ่น ซึ่งได้แก่ภูเขา Shirakami Main Mountain

ขอบคุณภาพจาก : tourkrub.co
ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ :

  • Website tourkrub.co
  • Facebook Page  https://www.facebook.com/tourkrub.co
  • สนใจทัวร์ต่างประเทศติดต่อได้ที่ Line: @tourkrub.co web: https://tourkrub.co

 

ที่เที่ยวหน้าหนาว ใกล้กรุงฯ ควงคนรักไปกอดให้คลายหนาว

1

8 ที่เที่ยวหน้าหนาว ใกล้กรุงฯ

อากาศเริ่มเย็นลงทีละนิด เป็นสัญญาณเตือนว่าฤดูหนาวกำลังมาเยือน! เหล่าขาเที่ยวคงกำลังมองหา ที่เที่ยวหน้าหนาว ให้ร่างกายได้ออกไปปะทะลมหนาว หรือไปยืนดูทะเลหมอกบนยอดเขาก็ฟินไปอีกแบบ สำหรับใครที่ไม่อยากเดินทางไกลๆ วันนี้ Travel Mthai ก็มี 8 ที่เที่ยวหน้าหนาวใกล้กรุงเทพมาเสนอ ให้เลือกกันจนตาแฉะ ตามความพึงพอใจและสตางค์ในกระเป๋า

  1. ยอดเขาเทวดา อุทยานแห่งชาติพุเตย
    จังหวัดสุพรรณบุรี

2

ยอดเขาเทวดา ไปไม่เจอเทวดา แต่จะเจอคนธรรมดายืนรับไอหมอกกับความเย็นยะเยือกอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดในจังหวัดสุพรรณบุรี ราว 1,123 เมตร จากระดับน้ำทะเล

3

สุพรรณบุรี ไม่ได้มีดีแค่ตลาดร้อยปี หรือบึงฉวาก แต่ยังมีอีกหนึ่งสถานที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา นั่นคือ ยอดเขาเทวดา อยู่ในอุทยานแห่งชาติพุเตย มีพื้นที่เกือบ 2 แสนไร่ ถือเป็นผืนป่าสุดท้ายของป่าห้วยขาแข้ง และเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารหลายสาย เหมาะกับนักเดินทางขาลุย ที่ชอบเสพย์ธรรมชาติระหว่างทาง เพราะที่อุทยานแห่งชาติพุเตย อุดมไปด้วยธรรมชาติมากมาย มีครบทั้งป่าไผ่ น้ำตก ไร่ข้าวโพด ข้าวไร่ แสงอาทิตย์ยามเช้า ทะเลหมอก และอากาศหนาวเย็น

*****************************************************************

  1. วังน้ำเขียว

จังหวัดนครราชสีมา

4

วังน้ำเขียว เมืองหนาว ภูเขามากมาย น้ำตกหลากหลาย ผลไม้นานาพันธุ์ แดนสวรรค์เมืองหมอก” … พักสายตาจากแสงสีฟ้าหน้าคอมฯ หันมามองสีเขียวขจีของธรรมชาติ พร้อมสูดโอโซนให้ฉ่ำปอดกันที่ “วังน้ำเขียว” จังหวัดนครราชสีมา เจ้าของฉายา สวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน  ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 7 แหล่งโอโซนบริสุทธิ์ของโลก นอกจากอากาศอันบริสุทธิ์ วังน้ำเขียวยังมีอากาศเย็นสบายตลอดปี มีทิวทัศน์สวยงามรายล้อม และที่เที่ยวน่าสนใจชวนปักหมุดอีกหลายจุด อย่างการขึ้นไปชมวิวหมอกสีขาวโพลน ยิงกระสุนเมล็ดพันธุ์พืช และเดินชมธรรมชาติบนผาเก็บตะวัน หรือไปเที่ยวสวนออแกนิค แหล่งปลูกผักเมืองหนาวปลอดสารพิษ รับประกันความสด สะอาด อร่อย ที่สวนลุงไกร ต่อด้วยการเที่ยวชมสวนดอกไม้นานาพันธุ์ที่ Flora Park (ฟลอร่าพาร์ค) เช่น สวนดอกไม้เมืองหนาว, อุโมงค์ไม้ไผ่, ROSE PARK สวนกุหลาบ หลายร้อยสายพันธุ์ เป็นต้น ปิดท้ายด้วยการไปนั่งดูนก ปิกนิก ริมน้ำตกภายในอุทยานแห่งชาติทับลาน

  1. เขาใหญ่

5

เขาใหญ่ ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ในลิสต์ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพฯของใครหลายคน ที่อยากออกมาพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติและสูดอากาศบริสุทธิ์ ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมให้ทำมากมาย รวมไปถึงร้านอาหารและคาเฟ่แสนอร่อย  เรียกว่าตอบโจทย์ครบทุกไลฟ์สไตล์ จะมาเดี่ยว มาคู่ หรือมาเป็นครอบครัวก็สนุกได้ทั้งนั้น

Primo Piazza (พรีโม เพียซซ่า เขาใหญ่) หนึ่งในที่เที่ยวเขาใหญ่สไตล์อิตาลี เอาใจคนชอบบรรยากาศแบบยุโรป ซึ่งจำลองมาจากหมู่บ้านโบราณ อายุกว่า 500 ปี ในแคว้นทัสคานี ประเทศอิตาลี ตั้งตระหง่านท่ามกลางขุนเขาโอบล้อม ภายในมีมุมสวยๆ ชวนถ่ายรูปหลายจุด รวมไปถึงร้านอาหารตะวันตก ร้านอาหารไทยประยุกต์ ร้านไวน์ ร้านกาแฟและขนม ร้านไอศกรีม และสนุกกับกิจกรรมป้อนอาหารเจ้าแกะ อัลปาก้า และดองกี้ สุดน่ารัก

6

หรือจะไปเดินเล่นชิลล์ๆ ท่ามกลางอากาศเย็นๆ ที่ Toscana valley (ทอสคาน่า วัลเล่ย์) อีกหนึ่งที่เที่ยวสุดหรูสไตล์ทอสคานี ซึ่งจำลองสถาปัตยกรรมมาจากอิตาลีเช่นเดียวกัน ด้านในมีเนื้อที่กว้างขวาง มีที่พัก สนามกอล์ฟ ร้านอาหารและร้านกาแฟ สำหรับผู้เข้าพักเท่านั้น ส่วนนักท่องเที่ยวสัญจร สามารถเข้ามาทานอาหารและเครื่องดื่มได้ที่บริเวณ Town Square มีหลายเมนูให้เลือก และรสชาติอร่อยติดใจใครหลายคน

*****************************************************************

  1. เขาพะเนินทุ่ง อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน

จังหวัดเพชรบุรี

7

อีกหนึ่งแหล่งชมทะเลหมอกใกล้กรุงไม่ต้องไปไกลถึงภาคเหนือ แถมมีให้ชมตลอดปี ไม่เว้นแม้แต่ช่วงฤดูร้อน เขาพะเนินทุ่ง ในอุทยานแห่งแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เนื่องจากที่นี่มีทะเลหมอกปกคลุมเหนือยอดเขาทั้งปี ไม่สามารถมองเห็นภูเขาเบื้องหน้าได้ และหมอกก็เปลี่ยนทิศทางอยู่บ่อยๆ ทำให้ยากต่อการจดจำว่าเป็นเขาลูกไหน มันจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า ภูลวงตา

โดยทะเลหมอกเกิดขึ้นจากความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าและต้นไม้ ที่คลายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจนกลายเป็นทะเลหมอกหนาตา ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกันในช่วงเช้า เมื่อหมอกเริ่มจาง ป่าดงดิบเบื้องล่างและต้นไม้น้อยใหญ่ก็ค่อย ๆ ปรากฏพร้อมกับภาพทิวเขาเรียงรายสลับซับซ้อน นักท่องเที่ยวสามารถเลือกชมทะเลหมอกได้ 2 จุด คือ จุดชมวิวกิโลเมตรที่ 30 และ 36 สำหรับช่วงที่ทะเลหมอกถูกยอมรับว่าสวยที่สุด และมีอากาศเย็นสบายที่สุด คือตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป

*****************************************************************

  1. ภูทับเบิก

จังหวัดเพชรบูรณ์

8

ไม่พูดถึงภูทับเบิกคงไม่ได้ ที่เที่ยวสุดฮิตของคนไทย ที่ถึงช่วงเทศกาลทีไรคนแห่ไปกันล้นภู “ภูทับเบิก สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในจังหวัดเพชรบูรณ์ ถูกกล่าวขานว่าเป็นดินแดนแห่งสายหมอก และเป็นแหล่งปลูกกะหล่ำปลีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

9

ภาพกลุ่มเมฆและทะเลหมอกตัดกับยอดเทือกเขาเพชรบูรณ์ในตอนเช้า คือสิ่งกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวต่างพากันขึ้นมาชมเป็นจำนวนมาก นอกจากมีไฮไลท์เป็นทะเลหมอกแล้ว ยังมีแปลงกะหล่ำปลีลูกโตปลูกอยู่บนหุบเขานับหมื่นไร่ แต่ช่วงหน้าหนาวประมาณธันวาคม-มกราคม เป็นช่วงเก็บเกี่ยวกะหล่ำของชาวเขาเผ่าม้ง จึงอาจมีให้เห็นไม่เยอะเท่าช่วงฤดูร้อน และอีกหนึ่งกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวชอบกันคือการกางเตนท์นอนรับลมหนาวบนยอดภู เพราะที่นี่ถูกเปรียบเปรยว่าเป็น ดาวบนดิน ด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเลราว 1768 เมตร ทำให้เมื่อมองจากภูทับเบิกลงไปเบื้องล่างในยามค่ำคืน จะเห็นแสงไฟของบ้านเรือนส่องประกายระยิบระยับคล้ายกับแสงดาวบนฟากฟ้านั่นเอง

*****************************************************************

  1. เขาช้างเผือก

จังหวัดกาญจนบุรี

10

ขอบคุณรูปภาพจาก Amazing Thailand

เขาช้างเผือก เป็นชื่อยอดเขาที่สูงที่สุดของอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ มีความสูงประมาณ 1,249 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง เป็นเส้นทางเดินป่าที่สวยงามและท้าทาย ซึ่งจะเปิดฤดูกาลให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นเพียงปีละครั้งเท่านั้นในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม และจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยววันละไม่เกิน 60 คน ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 6 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร สำหรับฤดูเปิดท่องเที่ยวเขาช้างเผือกปลายปี 2560 ถึง ต้นปี 2561 ยังไม่มีประกาศออกมาจากเจ้าหน้าที่อุทยาน

เส้นทางเดินขึ้นสู่ยอดเขาช้างเผือกเป็นป่าโปร่งสลับกับทุ่งหญ้า มีจุดไฮไลท์อยู่ที่สันเขา สันคมมีด” ที่ทั้งน่าหวาดเสียวและสวยงามในคราวเดียว บางคนก็เรียกกันว่า “สันวัดใจ” เพราะเป็นการปีนอยู่บนสันเขาเปิดโล่ง และแคบที่สุด เมื่อขึ้นมาถึงบนยอดเขาสามารถมองเห็นวิวได้รอบทิศทางแบบ 360 องศา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยกให้ที่แห่งนี้เป็น 1 ใน 10 Dream Destinations ที่นักท่องท่องเที่ยวควรไปเยือนมากที่สุด อีกด้วย

  1. สะพานมอญ สังขละบุรี

11

สะพานมอญ หรือ สะพานอุตตมานุสรณ์ สัญลักษณ์ของอำเภอสังขละบุรี เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย และติดอันดับ 2 ของโลกรองจากสะพานไม้อูเบ็งในพม่า เกิดจากความร่วมแรงร่วมใจของชุมชนที่อาศัยอยู่ในสังขละบุรี โดยสร้างพาดผ่านแม่น้ำซองกาเลีย เพื่อใช้เชื่อมระหว่างฝั่งไทยกับฝั่งมอญ ถือเป็นสถานที่่ท่องเที่ยวยอดฮิต ที่นักท่องเที่ยวนิยมมายืนโพสท่าถ่ายรูปเก๋ๆ คู่กับสะพานจำนวนมาก นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวทะเลสาบเขื่อนวชิราลงกรณ์ และแสงอาทิตย์ยามเช้า ที่เคล้าไปกับสายหมอกยามฤดูหนาว

*****************************************************************

  1. จุดชมวิวห้วยคอกหมู สวนผึ้ง

จังหวัดราชบุรี

12

จุดชมวิวห้วยคอกหมู สุดเขตแดนสยาม ตั้งอยู่ที่อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เป็นพื้นที่ของฐานปฏิบัติการร้อย ตชด.137 อยู่บนภูเขาสูง และเป็นพื้นที่ชายแดน สุดเขตประเทศไทยกับประเทศเมียนมาร์ ด้านบนจุดชมวิวนักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นภูมิประเทศอันสวยงามของเทือกเขาตะนาวศรี ฝั่งประเทศเมียนมาร์ได้ไกลสุดลูกหูลูกตา เมื่อมองข้ามไปอีกฝั่งจะเห็นต้นไม้ใหญ่และป่าดงดิบที่อุดมสมบูรณ์ มีนกนาชนิดมากมาย โดยทั่วไปนักท่องเที่ยวนิยมขึ้นมาชมพระอาทิตย์ขึ้นและตก ซึ่งพระอาทิตย์จะขึ้นที่ฝั่งไทย และตกที่ฝั่งเมียนมาร์ มีความงดงามไม่แพ้ทางภาคเหนือเลยทีเดียว