12 Cafe Hopping in BKK คาเฟ่หลากสไตล์ในกรุงเทพฯ

ด้วยร้านกาแฟที่เกิดขึ้นมาใหม่แบบวันต่อวัน คำว่า “Cafe Hopping” จึงเกิดขึ้นกับสายคาเฟ่ คนที่ชื่นชอบการเข้าร้านกาแฟเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นร้านที่โด่งดัง ร้านเพิ่งเปิดใหม่ หรือร้านที่อยู่ตามซอกตามซอย ที่ไหนตกแต่งสวยๆ ชาว Cafe Hopping ก็จะตามไปถ่ายรูป Instagram ให้ได้ แฟนเพจ เที่ยวรัวรัว ได้รวบรวมคาเฟ่เด็ดๆ ในกรุงเทพฯ ให้เหล่าสายคาเฟ่ตามไปเช็คอินกันค่ะ

12 Cafe Hopping in BKK คาเฟ่หลากสไตล์ในกรุงเทพฯ

  1. “ชวนพิศมัย” Chuanpisamai Cafe’

จากบ้านพักในย่านอารีย์สัมพันธ์ ถูกปรับเปลี่ยนตกแต่งใหม่เป็นคาเฟ่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่หอมหวลชวนฝัน สไตล์วินเทจใช้สีโทรพาสเทลอ่อนๆ สร้างบรรยากาศให้ร้านโดนรวมดูอบอุ่น และเป็นมิตรกับแขกที่มาเยือน…

การได้มานั่งชิวในช่วงบ่ายๆนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งจิบชาสไตล์อังกฤษ อยู่กลางสวนเล็กๆ ในบ้านทำนองนั้น… ภายในร้านมีหลายมุมให้เราได้เลือกนั่งค่ะ แต่ละมุมมีการตกแต่งที่แตกต่างกันไป ใช้วัสดุที่หลากหลายมา mix & match คุมโทนได้เป็นอย่างดี มีทั้งโซนเทอเรสหน้าบ้าน โซนที่นั่งริมทางเดิน และโซนที่นั่งภายในบ้าน และที่นี่ยังมีร้าน wedding studio เล็กๆ อีกด้วย เจ้าสาวแนววินเทจน่าจะต้องถูกใจอย่างแน่นอน

ที่ Chuanpisamai Cafe มีทั้งอาหารคาว อาหารหวาน และเครื่องดื่มให้บริการ โดยน้องพนักงานจะเอาเมนูมาให้และรับออเดอร์จากที่โต๊ะเลยค่ะ ไหนๆ ก็มาเยือนในบรรยากาศยามบ่ายหลังทานข้าวกลางวันเสร็จ เลยขอจัดน้ำชาและขนมมาทานเบาๆ

วันนี้สั่งชากุหลาบเย็น ชา Earl Grey และขนมที่เป็น signature ของร้านนี้ก็คือ CHUAN-MAI แพนเค้ก ที่ตกแต่งด้วยขนมสายไหมสีสวยๆ ผลไม้ และไอศกรีมสตรอว์เบอร์รี่ หน้าตาสวยงาม น่าทาน อร่อยใช้ได้ค่ะ เมนูนี้ราคา198 บาท

สิ่งที่ชอบมากๆ ก็คือร้านนี้เก็บทุกรายละเอียดจริงๆค่ะ แม้แต่จานช้อน ยังคงคอนเซ็ปท์ความวินเทจ
เรียกได้ว่า “ชวนพิศมัย” ตลอดเวลาที่อยู่ในร้านเลยทีเดียว…

สำหรับใครที่ชอบใช้เวลาว่างๆไปกับการนั่งชิวที่คาเฟ่ หรือหามุมถ่ายรูปสวยๆ ที่นี่เป็นอีกที่ที่น่าสนใจค่ะ

การเดินทาง ร้าน Chuanpisamai Cafe ตั้งอยู่ในซอยอารีย์สัมพันธ์ 7 (ปากซอยคือร้านปลาดิบ) ซอยตรงข้ามกับกรมประชาสัมพันธ์ พอเข้าซอยมาประมาณ 200 เมตร จะเจอร้านอยู่ทางขวามือค่ะ
เปิด 10.30-21.00 น. (ปิดวันจันทร์)

ปล. ที่นี่ที่จอดรถหาค่อนข้างยากมากค่ะ แนะนำว่าถ้าไม่นำรถมาได้จะดีกว่า

——————————–

  1. N10 Cafe’

คาเฟ่ริมน้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ในซอยฝั่งวังหลังค่ะ หากใครคุ้นเคยกับตลาดวังหลังเป็นอย่างดีก็น่าจะได้เคยเดินผ่านกันบ้าง แต่ถ้าใครยังไม่เคยไป ว่าง่ายๆ ร้านนี้อยู่ในซอยเล็กๆที่ขนานกับแม่น้ำเจ้าพระยานั่นแหละค่ะ ผู้คนจะพลุกพล่านหน่อยเพราะแถววังหลังนี้ทั้งของกิน ของขายเพียบบบ

ร้าน N10 Cafe’ ตั้งอยู่ที่ชั้นล่างของ Baan Wanglang Riverside ค่ะ ถ้าเห็นชื่อโรงแรมนี้เมื่อไหร่ก็จะเจอกับร้านนี้เลย โดยภายในร้านจะมีโซนที่นั่งทั้งด้านในและด้านนอกริมแม่น้ำค่ะ… และไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่จะเลือกนั่งด้านนอก… ยิ่งในช่วงแดดร่มลมตกแล้วละก็ คนแน่นเลยค่ะ…

เป็นอีกหนึ่งร้านที่แอดชอบเป็นการส่วนตัว เพราะเป็นคนชอบอยู่ริมแม่น้ำไรงี้… ได้นั่งพักผ่อน ปล่อยอารมณ์ไปเพลินๆ มองไปฝั่งตรงข้ามก็จะเห็น landmark มากมายเช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่ามหาราช วัดพระแก้ว และสะพานพระราม 8 ที่นี่มีบริการทั้งเครื่องดื่มและขนมให้เลือกเยอะค่ะ ราคาก็จัดอยู่ระดับกลางๆไม่โหดมาก แอดสั่งเครื่องดื่มไป 2 แก้ว ราคารวม 150 บาท แลกกับวิวแบบนี้ จัดว่าคุ้ม!!

และนอกจาก N10 Cafe’ แล้วที่ Baan Wanglang Riverside ยังมีร้านอาหารไทยอยู่ที่ชั้น 2 ชื่อว่า ต้นมะกอก Tonmakok อร่อยดีแอดไปลองทานมาแล้ว ให้เป็นร้านรับแขกบ้านแขกเมืองได้เลย แต่ราคาก็จะสูงนิดนึง… และที่ดาดฟ้าของที่นี่ก็ยังมีบาร์ที่ฮิตมากๆ ก็คือ 342 Bar นั่นเอง สรุปคือมาที่เดียวทานได้ทั้งอาหารคาว ของหวาน และปิดท้ายด้วยดื่ม ฟินไปรัวรัวค่ะ

ที่นี่ไม่มีที่จอดรถนะคะ ต้องหาที่จอดจากด้านนอก แอดเลือกที่จะจอดที่อาคารจอดรถของวัดระฆังฯ แล้วเดินเข้าซอยเรียบแม่น้ำมาไม่ไกลค่ะ (แวะไหว้พระก่อนก็ยังได้)
เปิดทุกวัน 100 – 20.00 น.

——————————–

  1. “Little Hide Out Cafe & Bakery”

ร้านคาเฟ่เล็กๆ สไตล์อบอุ่นเหมือนนั่งทานอยู่ที่บ้าน (เพราะร้านนี้อยู่ในบ้านจริงๆ!) ด้วยบรรยากาศที่ร่มรื่น เต็มไปด้วยต้นไม้รอบๆ ตกแต่งด้วยโต๊ะไม้ ลงตัวสุดๆ ภายในร้านมีที่นั่งแบ่งเป็นหลายโซนค่ะ

โต๊ะในบ้านเหมือนนั่งในห้องรับแขกตากแอร์เย็นๆ โต๊ะหน้าบ้านเหมือนนั่งชิวๆลมโกรก เม๊ามอยกับเพื่อนๆ และ… โต๊ะหลังบ้านเหมือนนั่งอ่านหนังสือเพลินๆ ติวหนังสือกับเดอะแก๊งค์

บอกเลยว่าทุกมุมน่านั่งหมดเลยล่ะ เลือกไม่ถูกเดินเลือกอยู่สองรอบ 555 ไปจบที่หลังบ้าน…
ส่วนเมนูขนมวันนี้ที่สั่งมาก็คือ Classic Scone แยมสตรอเบอร์รี่ อุ่นๆอร่อยค่ะ

ร้านตั้งอยู่ปากซอยฉิมพลี จากเส้นบรมราชชนนี (ฝั่งขาเข้า) เลี้ยวซ้ายเข้าถนนราชพฤกษ์ ประมาณ 500 เมตร ซอยจะอยู่ซ้ายมือเลย (อย่าเผลอขึ้นสะพานนะ เลยแน่ๆ) ส่วนที่จอดรถ แปะได้หน้าร้านนะคะ

  1. “Blue Whale Bangkok”

บริเวณท่าเตียนตอนนี้เต็มไปด้วยคาเฟ่ ร้านอาหารสวยๆเยอะแยะมากมายค่ะ แต่ที่สะดุดตามากๆก็คือ คาเฟ่ตึกแถวหนึ่งคูหาบรรยากาศ old town ถนนมหาราช ที่ตกแต่งร้านด้วยบรรยากาศใต้ท้องทะเลสีฟ้าคราม มีปลาวาฬสีน้ำเงินเป็นสัญลักษณ์ประจำร้าน

ร้านนี้อาจจะมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก มีที่โต๊ะนั่งอยู่ประมาณ 10 โต๊ะเห็นจะได้ มีที่นั่งอยู่บนชั้น 2 ที่มีระเบียง และชั้นลอยที่มีโซนที่นั่งแบบญี่ปุ่น (ถอดรองเท้านั่งพื้น)
อย่างที่บอกไปว่าบรรยากาศภายในร้านถูกตกแต่งด้วย theme ใต้ทะเล เราเลยเหมือนได้เดินเข้าไปในโลกแห่งสีฟ้า ร้านตกแต่งได้ดูอบอุ่นและผ่อนคลาย มีภาพ painting ปลาวาฬอยู่หลายจุดย้ำตัวตนของร้าน…

เมื่อเข้าไปถึงจะเจอกับเคาเตอร์สั่งอาหารและเครื่องดื่มก่อนเลยค่ะ… วันนี้มาชิวๆทานเบาๆเลยสั่งแค่น้ำและขนมตามนี้
– Iced Butterfly Pea Latte ราคา 120 บาท อันนี้เป็นเมนูแนะนำเลยค่ะ เครื่องดื่มสีฟ้าลาเต้อัญชันหอมกลิ่นชินนามอน
– Iced Chocolate ราคา 100 บาท และ
– Pancake (Berry Crumble) ราคา 200 บาท
เมื่อสั่งแล้วเราก็จะได้เบอร์ แล้วก็ไปเลือกโต๊ะนั่งตามสบายเดี๋ยวจะมีพนักงานนำอาหารมาเสริฟให้ค่ะ
วันนี่เลือกนั่งที่ระเบียงชั้น 2 เพราะอากาศดีชิวมากๆค่ะ

ร้านเปิดเวลา 10.00-20.00 น. (ปิดวันพฤหัสบดี) แนะนำว่ามาเร็วหน่อยก็ดีนะคะ คนไม่เยอะมาก… เพราะเคยไปมาครั้งนึงแล้วช่วงบ่ายๆหน่อย โต๊ะเต็มต้องลงคิวไว้ยาวยืดเลยขอบาย ต้องกลับมาลองอีกทีวันหลัง สำหรับใครที่เป็นสายชิว สายนั่งคาเฟ่ น่ามาลองค่ะ ร้านสวยจริงๆไรจริง เก็บรายละเอียดทุก detail เลย เผื่อมาไหว้พระวัดพระแก้ว เที่ยวเล่นแถวมิวเซียมสยาม ก็แวะมาพักขาได้ที่นี่ค่ะ

ร้านอยู่บริเวณท่าเตียนค่ะ ตรงข้ามวัดโพธิ์ (ถนนส่วนบุคคล ซอยเพ็ญพัฒน์ 1)
ที่จอดรถค่อนข้างหายาก แนะนำให้มาโดยรถสาธารณะหรือจอดแถวๆราชนาวีสโมสร (ท่าช้าง) แล้วเดินมาค่ะ

  1. “โกปี๊ ยิ้มไถ้กี่ ณ เสาชิงช้า”

ร้านกาแฟโบราณบรรยากาศคลาสสิคสไตล์สภากาแฟที่ยังหาได้ในกรุงเทพ…ร้านนี้เปิดมากว่า 13 ปีแล้วค่ะ จริงๆแล้วร้าน original อยู่ตรงแยกวิสุทธิกษัตริย์ อันนั้นเปิดมานานกว่า 60 ปี

ที่นี่มีทั้งอาหารคาว ของหวาน และเครื่องดื่มชากาแฟ
วันนี้มาเดินเล่นตอนบ่าย เลยสั่งมาทานขำขำ คือ กาแฟสูตร 1 เย็น , โกโก้เย็น เพิ่มวิปครีมเพราะที่ร้านเชียร์สุดๆบอกว่าวิปครีมที่ร้านทำเองนะจ๊ะ หวานมันกำลังดี… แก้วละ 60 บาท
และอีกเมนูเบาๆทานเล่นยามบ่ายก็คือ “โรติม” คือ โรตี+ไอติม นั้นเอง แต่โรตีที่นี่ไม่ได้มาแบบแบนๆนาจา แต่เป็นโรตีร้อนๆ ฟูๆกรอบๆ เสริฟพร้อมไอติมวนิลลาและวิปครีม ราคาจานละ 129 บาท

นอกจากนี้ก็ยังมีเมนูอื่นๆ อีกมากมายนะคะ เมนูเล่มหนาเชียวล่ะ… จะทานแบบจิงจังหรือจะทานแบบชิวๆก็แล้วแต่สะดวกเลย ร้านนี้เป็นแบบ self-service นะคะ สั่งอาหารที่เคาเตอร์ บอกเบอร์โต๊ะ แล้วรอเรียก

ร้านอยู่ติดกับศาลาว่าการกรุงเทพฯ อยู่ต้นซอยสำราญราษฏร์
ถ้าใครขับรถมา แนะนำให้หาที่จอดข้างๆวัดสุทัศฯ นะคะ แต่ไม่เอารถไปดีที่สุด ! (เพราะที่จอดค่อนข้างหายาก) ทานร้านนี้เสร็จ แถวนี้มีร้านอื่นน่าสนใจอีกเพียบ…

  1. “PH1b Coffee Bar”

ร้านคาเฟ่ชิวๆ นั่งเพลินในซอยพหลโยธิน 11
มีทั้งเครื่องดื่มและขนมให้เลือกชิมมากมาย… มีโต๊ะให้นั่งพอสมควร ใครชอบแบบ lazy หน่อยๆก็โซนโซฟาได้เลยมี Wifi ให้ใช้ฟรีอีกต่างหาก


ภายในร้านตกแต่งได้ลงตัวค่ะ แนว industrial นิดๆ บวกกับงานไม้หน่อยๆมีภาพวาดที่มีชื่อร้านอยู่บนผนัง รวมๆแล้วแอดชอบบรรยากาศร้านนี้ค่ะ ไม่อึกอัดนั่งสบาย…

ราคาเครื่อมดื่มเริ่มต้นที่ 70 บาท ส่วนเค้กก็ 120 บาท (ราคาหลากหลาย) ใครเอารถมาจอดได้หน้าร้านและริมถนน (แต่ก็อาจจะหายากนิดนึงนะคะ)

ร้านเปิด 09.00-21.00 น.

  1. Inu Machi Cafe’

คาเฟ่น้องหมาย่านราชพฤกษ์ ที่มีน้องหมาชิบะอินุ และไซบีเรียน ฮัสกี้ กว่าสิบตัวให้เราได้เล่นด้วย…
ร้านคาเฟ่นี้มีขนาดไม่ใหญ่มากค่ะ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าน้องหมาแต่ละตัวไซส์ใหญ่ๆทั้งนั้นเลยทำให้ดูเต็มร้านไปหมด แต่ที่ชอบก็คือด้านหน้าร้านเป็นลานสนามหญ้ากว้างที่เราสามารถมาวิ่งเล่นกับน้องหมาได้ค่ะ

ที่นี่มีทั้งของคาว ของหวาน และเครื่องดื่มให้เราได้เลือกสั่ง… แต่สารภาพว่ามาคราวนี้แทบไม่ได้โฟกัสที่อาหารเท่าไหร่ เพราะอยากมาเล่นกับน้องหมาจริงๆ เลยสั่งมาทานขำขำแค่ Blue Lemon Soda , Hot Cappuccino และของทานเล่นอีกเล็กน้อย…

โดยกติกาของคาเฟ่นี้ก็คือ แขกที่มาทุกคนจะต้องเสียค่าบริการ 150 บาท แต่สามารถนำเงินจำนวนนี้ไปเปลี่ยนเป็นอาหารและเครื่องดื่มภายในร้านได้เต็มจำนวนค่ะ (ถ้าสั่งไม่ถึงก็ยังคงต้องจ่ายราคาเต็มอยู่ดีนะ) แต่ไม่สามารถคิดรวมกับราคาค่าขนมของน้องหมานะคะ และอีกหนึ่งกติกาที่สำคัญมากๆคือ ทางร้านขอความร่วมมือลูกค้าทุกคนไม่ใช้อาหารของคนหลอกล่อน้องหมาให้มาเล่นหรือถ่ายรูปนะคะ… ถ้าอยากให้น้องหมาทานขนมสามารถซื้อขนมสำหรับน้องหมาได้ที่เคาท์เตอร์ค่ะ โดยน้องๆพนักงานจะคอยเรียกๆน้องหมามาโชว์ตัวและเล่นกับลูกค้าเรื่อยๆด้วยค่ะ

บรรยากาศภายในร้านมีน้องหมาไซส์ XXL เดินเล่นกันขวักไขว่เลยค่ะ แอดอยากเล่นกับน้องหมาก็เลยซื้อขนมน้องหมามาถุงนึงราคา 60 บาท พอเห็นแอดซื้อขนมมาเตรียมจะป้อนเท่านั้นแหละ… น้องๆเดินตามก้นแอดรัวรัวเลย น่ารักจริงๆ

สำหรับใครที่เป็นทาสน้องหมา ลองแวะมาเล่นกันได้นะคะ แนะนำไปช่วงเย็นแดดไม่ค่อยร้อน มานั่งเล่นด้านหน้าร้านและสนามหญ้าได้ชิวๆค่ะ
ร้านเปิด 11.30-20.30 น. (ปิดวันพุธ)
ร้านอยู่ในซอยวัดอินทราวาส บนถนนราชพฤกษ์ค่ะ เข้าซอยมาประมาณ 200 เมตร

  1. “MoreNom : Magic Bar”

คาเฟ่ตกแต่งแหวกแนวย่านเพชรเกษม ให้ความรู้สึกเหมือนเดินเข้าไปอีกมิติที่มีความลึกลับชวนให้ค้นหา เหมือนมีเวทมนต์บางอย่างซ่อนอยู่… ภายในร้านตกแต่งด้วยโทน darkๆหน่อย มีต้นไม้ใหญ่อยู่ตรงกลาง… มีชั้นหนังสือโบราณ ตามผนังกำแพงก็ลงสีให้ดูเก่าๆ และออกแนวน่ากลัวนิดๆ ! (อารมณ์ประมาณในหนัง Harry Potter เห็นจะได้)

และสำหรับใครที่อยากแต่งตัวให้เข้ากับบรรยากาศร้าน ที่นี่เค้าก็มีคอสตูมชุดผ้าคลุมและหมวกแม่มด-พ่อมดให้ได้ใส่ถ่ายรูปได้ด้วย…แถมมีไม้กวาดให้ขี่ไปอี๊ก !! ในร้านค่อนข้างกว้างค่ะ มีโต๊ะเยอะพอสมควรเลย ที่นี่มีทั้งเครื่องดื่ม ของคาว และขนม ราคาเป็นมิตรมากๆ สั่งอาหารที่เคาเตอร์ได้เลย เดี๋ยวพนักงานมาเสริฟให้ถึงที่

ใครที่ชอบสรรหาคาเฟ่บรรยากาศแปลกๆใหม่ๆ ลองมากันได้ค่ะ
ร้านเปิดทุกวัน 11.00-22.00 น.
ร้านตั้งอยู่ในซอยเพชรเกษม 77/4 (ตรงข้ามมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์) เข้าซอยมาประมาณ 200 เมตรก็จะเจอร้านอยู่ทางซ้ายมือ เป็นตึกแถว 2 คูหา หน้าร้านดูแตกต่างเห็นชัดเจน
ปล. ที่นี่ที่จอดรถค่อนข้างน้อยนะคะ จอดหน้าร้านได้ประมาณ 3 คัน และหาที่จอดตรงอื่นยากค่ะ เพราะแถวนั้นเป็นโซนที่อยู่อาศัยซะส่วนใหญ่

  1. “Early Bird Gets Coffee”

ร้านคาเฟ่สไตล์โฮมมี่ สบายๆเหมือนทานอาหารที่บ้าน…บรรยากาศอบอุ่นของบ้านหลังใหญ่สีขาวที่ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ และตุ๊กตาตัวเล็กตัวน้อย… ภายนอกร้านมีพื้นที่สีเขียวมองออกไปสบายตา… มาถึงร้านนี้ทั้งนี้…ห้ามพลาดที่จะต้องถ่ายภาพกับเปียโนที่แสนจะ classic มีกำแพงอิฐเป็นฉากหลัง ที่ตั้งตอนรับลูกค้าทุกคนเมื่อเปิดประตูเข้าไปในร้านนะ

ร้านนี้มีครบทั้ง อาหาร ขนมหวาน และเครื่องดื่ม เรียกได้ว่ามาที่เดียวได้อิ่มแบบครบเลย…
อาหารที่ Early Bird Gets Coffee จะเป็นสไตล์ฟิวชั่นผสมผสานระหว่างอาหารฝรั่งบ้าง ไทยบ้าง จานนึงค่อนข้างใหญ่พอสมควรเลย จะสั่งมาแชร์กันก็กู๊ดไอเดีย ยกตัวอย่างให้น้ำลายไหลกันซักนิด… – ข้าวผัดกากหมู ปลากระพงราดซอส (ปลาชิ้นใหญ่มาก) – Indian Little Birdie Pizza พิซซ่าไก่สไตล์อินเดียแป้งบางกรอบ (อันนี้อร่อยมากขอบอก) – ข้าวซี่โครงหมูอบ (เนื้อหมูนุ่มชุ่มด้วยน้ำซอส) ส่วนของหวานก็มาเต็มไม่น้อยหน้า ไม่ว่าจะเป็น Panna Cotta ที่ใส่มาในจานไม้นกน้อยเกร๋ไกร๋ไม่เบา หรือจะเป็น French Toast จานใหญ่ที่ทานคนเดียวไม่หมดแน่นอน…

ใครอยากหาร้านบรรยากาศดีๆนั่งพักผ่อน ทานของอร่อยแบบที่ไม่ต้องดั้นด้นเข้าไปถึงกลางเมือง ร้าน Early Bird Gets Coffee น่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีทีเดียว…
เปิด 09.00-21.00 (ปิดวันจันทร์)
อยู่ในซอยงามวงศ์วาน 25 เข้าซอยไปไม่ไกลมากเลี้ยวซ้ายที่ แยก 3 ก็จะเห็นร้านเลยค่ะ

  1. AM•PER•SAND COFFEESTAND & DESIGN

ร้านคาเฟ่ในตู้คอนเทนเนอร์ ตั้งอยู่โครงการ The Bloc ราชพฤกษ์ ตกแต่งแบบ minimal cafe เท่ๆด้วยโทนสีขาว มองไปทางไหนก็สวย สะอาด สบายตา วัสดุที่เลือกใช้ทุกอย่างทำให้ร้านนี่ดูมี “ความแพง” เรียบง่าย แต่หรูเลยแหละ ชอบจุง!!! ร้านนี้มี 2 ชั้นคะ ชั้นบนเป็นที่นั่งชิวๆ

เครื่องดื่มและขนมที่นี่หน้าตาดีและรสชาติอร่อยใช้ได้เลยค่ะ วันนี้ลองสั่งช็อคโกแลตเย็น / Lemonade และขนม Cheese Cake & Biscuit ชอบทั้ง 3 อย่างนะ…ไม่ได้อวยแต่โอเคจริงๆ ส่วนราคาอาจจะสูงซักหน่อย…

แต่ทีเด็ดอยู่ที่ชั้นล่างของร้านนี่เลยค่ะ ถึงร้านจะถูกตกแต่งด้วยสีขาว…. แต่ก็ได้สีสันของ FREITAG นี่แหละ ที่เป็นอีกสิ่งดึงดูดให้มาที่นี่!! เพราะที่นี่เป็นเหมือนสวรรค์ของชาว “F-reitager” นั่นเอง!!
พื้นที่อาจจะไม่มากนัก แต่ที่นี่มีกระเป๋าเด็กแนวอย่าง FREITAG ให้เลือกเยอะมากกกกก มีหลายรุ่น หลายสี คือดีงาม เข้าไปเดินดูนี่ลายตาไปหมด… คือสาวกต้องไม่พลาดมาโดนนะ ดีงามมากจริงๆ

ร้านเปิด 07.00-20.00 น. (ปิดวันพุธ)
โครงการ The Bloc ราชพฤกษ์ (อยู่ฝั่งตรงข้ามกับ The Circle) ร้านอยู่มุมขวาด้านหน้าสุดเห็นชัดเลย จะมีสัญลักษณ์ “&” ชื่อร้านใหญ่มากๆ

  1. “Coffee GAPI” ร้านคาเฟ่ของ “กะปิ”

ร้าน Coffee GAPI คาเฟ่บรรยากาศเท่ห์บนพื้นที่กว้างขวาง มีหลายมุมให้เลือกนั่งสบายๆ ตกแต่งสไตล์ Industrial โมเดิร์นๆ แต่แอบผสมผสานความเป็นไทย ให้ความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย ร้านนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Hostel ที่ชื่อว่า A’Hostel Bangkok ค่ะ อยู่ที่ชั้นล่างเลย… ที่นี่ให้ความรู้สึกประมาณว่าหลบจากความวุ่นวายเข้ามานั่งพักชิวๆ ทำนองนั้น เพราะตั้งอยู่ในซอยที่ค่อนข้างจะเงียบสงบ

พระเอกของที่นี่ก็คือ “กะปิ” น้องหมาพันธุ์ French Bulldog สีน้ำตาล ที่จะคอยเดินทักทายต้อนรับแขกทุกคนที่เข้ามาในร้านค่ะ กะปิน่ารักมากกกกก เป็นมิตรนิสัยดี สร้างรอบยิ้มให้ทุกคน สรุปว่า “กะปิ” นี่เป็นเจ้าของร้านเลยไหมนี่??? 555

ที่ Coffee GAPI มีขนมและเครื่องดื่มให้บริการค่ะ วันนี้มาตอนบ่ายชิวๆ เลยจัดคาปูชิโน่ร้อน ช็อคโกแลตเย็น และ Scone 1 ชิ้น รวมราคา 150 บาทพอดิบพอดี ราคาเป็นมิตรมากๆๆๆๆค่ะ รสชาติก็โอเค ดีงามจริงๆ

เปิดทุกวัน 09.00-19.00 น.
ร้านตั้งอยู่ในซอยประดิพัทธ์ 20 เข้าซอยตรงมาเรื่อยๆ แล้วเลี้ยวขวาตรงเข้าไปสุดซอยก็ถึงเลยค่ะ (สังเกตป้าย A’Hostel) ซอยค่อนข้างเล็กหน่อยนะคะ ดูจังหวะรถสวนดีๆ
ที่บริเวณด้านหน้าร้านมีที่จอดรถค่ะ แถมร้านสุดท้ายสำหรับรีวิวนี้ ออกมาจากกรุงเทพนิดนึง แต่ก็ใกล้นิดเดียวแค่แถมติวานนท์นี่เองค่ะ

  1. “Lastberry”

ร้านคาเฟ่เล็กๆ บรรยากาศน่ารักในย่านติวานนท์ ร้านนี้ตกแต่งด้วยโทนสีอุ่นๆ สีน้ำตาล ไม้ๆ ดูสบายๆผ่อนคลายค่ะ

เปิด 07.00-18.30 น. (วันจันทร์-ศุกร์) 09.00-18.30 น. (วันเสาร์-อาทิตย์) หยุดวันพุธ
พิกัด Lastberry
ร้านตั้งอยู่ในซอยติวานนท์ 3 เข้าไปประมาณ 100 เมตร จะเจอร้านอยู่ทางขวามือ (สังเกตว่าจะอยู่ตรงข้ามกับ 7-11) เป็นตึกแถวคูหาริมสุด จะว่าไปร้านนี้ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีกระทรวงสาธารณสุขด้วยค่ะ

และนี่ก็คือทั้งหมดที่ “พี่หยอด” ได้ไป Café Hopping มาในช่วงที่ผ่านมาค่ะ มีหลากหลายสไตล์ หลากหลายบรรยากาศ ใครชอบแบบไหนก็ลองแวะไปดูนะคะ และถ้ามีที่ไหนแนะนำ “พี่หยอด” อีกก็อย่าลืมคอมเม้นกันไว้ด้วยน้า จะได้ไปตามรอยบ้างค่ะ

——————————————————————

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก เที่ยวรัวรัว

6 เส้นทาง ขับรถเที่ยว อัศจรรย์แห่งทัศนียภาพ

บางคนสะสมกระเป๋า บางคนสะสมนาฬิกา และบางคนเลือกที่จะสะสมประสบการณ์การเดินทาง เพราะหลากหลายความทรงจำดีๆ เกิดขึ้นได้ตลอดทริป ไม่ว่าจะเดินทางด้วยรถเมล์ รถไฟ รถยนต์ ไม่ว่าจะผ่านตรอกซอกซอย หรือถนนสายไหนๆ ก็ล้วนมีทิวทัศน์ที่งดงามหลบซ่อนอยู่ 6 เส้นทาง ขับรถเที่ยว อัศจรรย์แห่งทัศนียภาพ หรือ DRIVES ME CRAZY 6 Best Driving Destinations อีกหนึ่งเรื่องราวการเดินทางอันน่าสัมผัส จาก นิตยสาร JOY ฉบับแกรนทัวริสโมนี้ เป็นสิ่งที่เราอยากแบ่งปัน เผื่อบันทึกไว้เป็นหนึ่งแรงผลักของนักเดินทาง

 อิตาลี : Stelvio Pass

ถนนสายนี้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเส้นทางที่มีทั้งรถยนต์ และมอเตอร์ไซค์สัญจรกันหนาแน่นที่สุด เมื่อเทียบกับเส้นทางบนภูเขาสูงในเทือกเขาแอลป์เส้นอื่นๆ ถ้าเป็นไปได้จึงควรเลือกที่พักให้ใกล้มากที่สุดแล้วออกแต่เช้า ถ้าเป็นช่วงกลางสัปดาห์ และเลี่ยงไฮซีซั่นในเดือนกรกฎาคม และสิงหาคมได้ยิ่งดี

Stelvio Pass เป็นถนนผ่านช่องเทือกเขาแอลป์ที่เก่าแก่ จุดสูงสุดอยู่ที่ 2,757 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ถนนนี้อายุเกือบสองร้อยปีแล้ว ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ช่องเขานี้ได้การกล่าวขานถึงว่าเป็นสมรภูมิที่สูงที่สุด และหฤโหดที่สุดแห่งหนึ่ง เส้นทางลดเลี้ยวไปตามไหล่เขา มีโค้งพับผ้ามากกว่า 70 โค้ง ถนนแคบถึงแคบมาก

มอเตอร์ไซค์เพียบ เยอะจนตำรวจต้องปิดเส้นทางไม่ให้รถยนต์ขึ้นในช่วงสายๆ ของวันนั้น

นิวซีแลนด์ : Glenorchy

เมือง Glenorchy ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นที่ตั้งของ Paradise หรือดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ นั่นเป็นเพราะเมืองเล็กๆ ปลายทะเลสาบ Wakatipu ถูกใช้เป็นที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่องมาก ทั้งLord of The Ring และ Narnia เมื่อวิ่งทะลุ Glenorchy ไปยังเมือง Kinloch ซึ่งเมื่อขับจะเจอเส้นทางเป็นบ้านเล็กๆ ที่เราสามารถไปนั่งทานมื้อเที่ยงพร้อมชมบรรยากาศ

ขากลับจาก Kinloch ให้ขับรถย้อนเส้นทางเดิมเลาะไหล่เขา เลียบ ริมทะเลสาบ Wakatipu กลับไปยัง Queenstown การเดินทางเที่ยวนี้ทิวทัศน์จะดูอลังการยิ่งกว่าขามา เพราะมี เทือกเขาThe Remarkables  มีหิมะปกคลุมยอดเป็นแนวยาว

จาก Queenstown มุ่งหน้าสู่เมือง Cardrona  แวะจุดพักบน Crown Range Road ก่อนจะขับต่อไปทานของว่างที่โรงแรม Cardrona Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมที่เก่าแก่ที่สุดใน นิวซีแลนด์ จากนั้นมุ่งหน้าขึ้นเขาสู่ Snow Farm เมืองหลวงแห่งกีฬาแอดเวนเจอร์ของโลก ความเด็ดอยู่ที่เส้นทางขึ้นไป เพราะเป็นเส้นทางแรลลี่ Race to The Sky ที่โด่งดังในหมู่คนรักมอเตอร์สปอร์ต

สุดทางที่เมือง Glenorchy แวะดูวิวสวยๆ ได้ แต่อย่าหยุดเพียงเท่านี้

ทิวทัศน์จากโต๊ะอาหารมื้อกลางวันที่ Kinloch

ออสเตรเลีย : The Great Ocean Road

The Twelve Apostles เป็นหนึ่งในจุดหมายที่ใครก็ตามที่ไปเที่ยวนครเมลเบิร์นต้องแวะไปชม มันเป็นกลุ่มของแท่งหินปูนที่เกิดการกัดกร่อนตามธรรมชาติ ตั้งอยู่บนเส้นทาง The Great Ocean Road ชายฝั่งด้านใต้ของเกาะออสเตรเลีย กาลเวลาผ่านไป แท่งหินก็ถูกกัดเซาะล้มลงไปหลายอัน จากที่ควรเป็น 12 ตามชื่อ ตอนนี้เหลืออยู่เพียง 8 เท่านั้น

ถ้ามีเวลาไม่มากแนะนำให้ออกเดินทางจากเมลเบิร์นแต่เช้าโดยตรงไปยัง The Twelve Apostles ก่อน จากนั้นค่อยขับกลับแบบชิลๆ ชมทิวทัศน์สองข้างทางและแวะถ่ายภาพเป็นที่ระลึก

ขากลับวิ่งผ่านเส้นทาง The Great Ocean Road ซึ่งเป็นเส้นทางลัดเลาะไปตามชายฝั่ง ทิวทัศน์สวยงาม หลังจากผ่านมาแล้วเพิ่งรู้ว่าถนนเส้นนี้เป็นอนุสรณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อสร้างให้กับทหารที่เสียชึวิตในสมรภูมิ เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1919 ใช้เวลาสร้างทั้งสิ้นถึง 13 ปี

คล้ายๆ แกะแต่คอยาว

ให้ทายว่าหล่นไหม

โปรตุเกส : Porto

คนไทยส่วนใหญ่จะรู้จัก Porto เมืองใหญ่อันดับที่ 2 ของ ประเทศโปรตุเกส ผ่านทีมฟุตบอล แต่เมืองนี้ยังมีดีที่พอร์ตไวน์ ซึ่งเป็นไวน์แดงรสชาติหวานๆ ไว้ดื่มตอนหลังอาหาร เป็นผลผลิตอันโด่งดังอีกด้วย

นอกจากพอร์ตไวน์แล้ว Porto ยังมีทีเด็ดอีกอย่าง คือ ถนนเส้น N-222 ระหว่างเขต Peso da Régua และ Pinhão ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น The World’s Best Driving Road โดยนอกจากเรื่องของวิวทิวทัศน์ของไร่องุ่นแบบขั้นบันไดเรียงรายเป็นลำดับขั้นที่งดงามบนเชิงเขาแล้ว มันยังเป็นถนนที่มีสัดส่วนที่ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่สมบูรณ์แบบตามสูตร 10:1 มีโค้งกว้าง และแคบรวมกันถึง93 โค้ง

ขอแนะนำให้เริ่มออกเดินทางจาก Porto มุ่งหน้าไปทางตะวันออกสู่ Pinhão ที่เส้นทาง N-222 จะพาเราเลาะเลียบริมแม่น้ำไปยัง Peso de Régua เพลิดเพลินกับทิวทัศน์สองข้างทาง เพราะหุบเขา Douro Valley ที่เต็มไปด้วยไร่องุ่นนี้เป็นต้นกำเนิดของพอร์ตไวน์ และได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกด้วย

สหรัฐอเมริกา : Valley of Fire, Nevada

Valley of Fire State Park มีหินทรายแดงหลากเฉดสีรูปทรงประหลาดมากมายให้ได้ถ่ายรูปไม่รู้เบื่อ สร้างความประทับใจได้มาก ขับผ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบก่อนจะกลับไปสู่แสงสีของเมืองLas Vegas ซึ่งอยู่ห่างไปเพียงชั่วโมงเศษด้วยระยะทาง 80 กิโลเมตร

จาก ลาสเวกัส แนะนำให้ไปต่อขับอ้อมตัวเมืองไปทางใต้เพื่อไปเที่ยว Grand Canyon สักรอบ ตัวอุทยานแห่งชาติ Grand Canyon นี้แบ่งเป็นหลายโซน แต่ละจุดมีวิวสวยๆ ที่แตกต่างกัน ต้องทำการบ้านก่อนไปสักนิดว่าอยากไปจุดไหนจะได้เลือกเส้นทาง และกะเวลาถูก

แสงสีของเมือง Las Vegas

ไอส์แลนด์ : Sólheimasandur Beach

ถ้ามีสักแห่งบนโลกที่เหมือนนอกโลกมากที่สุดคงจะเป็นด้านใต้ของเกาะไอซ์แลนด์นอกจากจะมีธารน้ำแข็งขนาดมหิมาทุ่งหินโลกว้างสุดลูกหูลูกตาแล้วยังมีหาดทราย Solheimasandur สีดำทะมึนบนหาดทรายสีดำยังมีซากเครื่องบินตั้งอยู่อย่างปล่าวเปลี่ยว

ซากเครื่องบิน DC-3 ของกองทัพสหรัฐซึ่งได้ร่อนลงฉุกเฉินในวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1973 กลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญที่นักผจญภัย และคนรักการถ่ายภาพทั่วโลกไม่อยากพลาด ถ้าคิดว่าจะปักหลักถ่ายภาพซากเครื่องบินโดยมีฉากหลักเป็นแสงเหนือ ควรเช็คพยากรณ์อากาศให้ดีว่าเป็นวันฟ้าเปิด เตรียมเสื้อผ้าให้พร้อม ที่สำคัญคือแบตเตอรี่กล้องกับน้ำมันรถต้องพร้อม

หากอ้อมไปด้านใต้ของตัวเกาะมุ่งหน้าสู่ธารน้ำแข็ง Jökulsárlón ทิวทัศน์ธรรมชาติต่างๆ ที่ได้เห็น ทั้งน้ำตก ธารน้ำแข็ง ทำให้รู้สึกว่า มนุษย์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เท่านั้นเอง

ธรรมชาติแสนยิ่งใหญ่ทำให้เรารู้สึกว่ามนุษย์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็กๆ

ขอบคุณประสบการณ์การเดินทางจาก นิตยสาร JOY Magazine #3 สามารถดาวน์โหลดได้ที่ bit.ly/JOYMAG003

รับส่วนลด 500 บาท! เมื่อพักที่ เอ – วัน กรุงเทพ (A – one Bangkok Hotel) กรุงเทพฯ

เอ – วัน กรุงเทพ (A – one Bangkok Hotel) กรุงเทพฯ

มอบส่วนลดทันที 500 บาท เมื่อจองโรงแรมนี้

สิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิก Travel Guru เท่านั้น!

เอ – วัน กรุงเทพ (A – one Bangkok Hotel) กรุงเทพฯ โรงแรมใจกลางกรุงเทพฯ ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสนามบินและแอร์พอร์ตลิ้ง การเดินทางยังสะดวกสบายด้วยบริการรถรับส่ง ผู้เข้าพักจากโรงแรมไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่ใกล้ที่สุด นอกจากนั้นยังอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวใจกลางกรุง ทั้ง สยาม เทอร์มินอล 21 เซ็นทรัลพลาซ่า พระราม 9

ที่นี่มีห้องพักทั้งหมด 6 ประเภท คือ Superior, Executive, Executive Deluxe, Family Suite, Junior Suite และ Royal Suite รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายภายในโรงแรม เช่น ห้องอาหาร คาเฟ่ เล้าจน์ ฟิตเนส สปา และสระว่ายน้ำ

ห้องพักแบบ Superior Room

ห้องพักแบบ Executive Room

ห้องพักแบบ Executive Deluxe Room

ห้องพักแบบ Family Suite

ห้องพักแบบ Junior Suite 2 Bedroom

ห้องพักแบบ Royal Suite 3 Bedrooms

สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ

เงื่อนไข:

-ห้องพักทุกประเภท 2 วัน 1 คืน จำนวน 1 ห้อง

-รับส่วนลด 500 บาท เมื่อมียอดชำระค่าห้องพักตั้งแต่ 1,500 บาทขึ้นไป สำหรับผู้ที่เป็นสมาชิก Travel Guru เท่านั้น

-ราคาดังกล่าวรวมค่าบริการและภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว

-Check in 14.00 hrs and Check out 12.00 noon

-ไม่สามารถใช้ได้ในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง (Long Weekend) และวันหยุดนักขัตฤกษ์ต่างๆ

-กรุณาสำรองห้องพักอย่างน้อย 7 วันทำการก่อนเข้าพัก

-กรุณาสำรองห้องพักได้ที่ 02-100-7008 เท่านั้น

-ไม่สามาถใช้ร่วมกับโปรโมชั่นอื่นๆหรือแลกเป็นเงินสดได้

-กรณีเลื่อนวันหรือยกเลิกการเดินทางต้องแจ้งก่อนการเดินทางอย่างน้อย 14 วันทำการ และ สามารถเลื่อนได้เพียง 1 ครั้งเท่านั้น

-หากของรางวัลดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงทางบริษัทจะหาของรางวัลที่มูลค่ามากกว่าหรือเทียบเท่ามาชดเชยให้ 

ระยะเวลา: วันนี้ – 31 ส.ค. 61

รายละเอียดเพิ่มเติม: http://www.hotelsthailand.com/thailand/bangkok/a-one-bangkok-hotel.html