รวม 7 ของฝากจากบาหลี ไปทั้งทีต้องซื้อกลับมา

ถือเป็นธรรมเนียมและการแสดงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่เมื่อเราไปเที่ยวต่างประเทศ ก็จะหาซื้อของฝาก ของกินอร่อยๆ ที่ขึ้นชื่อของเมืองนั้นๆ ติดไม้ติดมือกลับมาให้ครอบครัวและมิตรสหาย ครั้งนี้เราจะพาไปหาของฝากกันที่ บาหลี เกาะสวรรค์ของคนรักธรรมชาติในอินโดนีเซีย หากใครมีแพลนมาเที่ยว แต่ยังไม่รู้จะซื้ออะไรดี เราขอแนะนำ 7 ของฝากจากบาหลี ไปทั้งทีต้องซื้อกลับ นอกจากจะน่าซื้อแล้ว ยังแสดงถึงความเป็นบาหลีได้ดีอีกด้วย

รวม 7 ของฝากจากบาหลี
ไปทั้งทีต้องซื้อกลับมา

1.ผ้าบาติกบาหลี (BALI BATIK)


เริ่มกันด้วย ของฝากจากบาหลี ยอดนิยมอย่าง ผ้าบาติกบาหลี เป็นสินค้าพื้นเมืองที่แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมของบาหลี ผ่านงานแฮนด์เมด ผ้าบาติกบาหลีจัดได้ว่าเป็นมรดกสุดล้ำค่าจากอินโดนีเซียที่ยิ่งซัก ยิ่งนิ่ม ทิ้งตัวสวย ตัดเป็นผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่กันหนาว ก็สวยงาม ด้วยการออกแบบลวดลายที่โดดเด่น หลากสีสัน ตามลักษณะดั้งเดิมแท้ๆ เหมาะสำหรับซื้อให้คุณแม่ เพื่อนสนิท หรือผู้ที่ชื่นชอบผ้าพันคอ บอกเลยว่าถูกใจแน่นอนค่ะ

2.โสร่งบาหลี (BALI SARONG)


อีกหนึ่งของฝากที่เป็นผ้าพื้นเมืองสวมใส่ง่าย นั่นก็คือ โสร่งบาหลี นักท่องเที่ยวจะต้องสวมใส่เวลาเที่ยววัดในบาหลี หรือเดินชายหาด เป็นผ้าโปร่ง สบาย น้ำหนักเบา นุ่งแล้วจะติดใจ มีหลายลวดลายและสีสันที่สร้างจากแรงบันดาลใจจากทะเล ซึ่งหาซื้อง่ายตามร้านค้าทั่วบาหลี จึงเหมาะสำหรับซื้อเป็นของฝากให้คนที่เรารัก

3.หน้ากากไม้แกะสลักลาย (WOODEN CARVED MASKS)


เพราะชาวบาหลีอาศัยอยู่กับธรรมชาติ และยึดถือจิตวิญญาณของบรรพบุรุษ จึงก่อกำเนิด หน้ากากไม้แกะสลักลาย เหมาะสำหรับตกแต่งบ้านสวยงามดูมีมนต์ขลัง เป็นงานหัตถกรรมไม้ อีกหนึ่ง ของฝากจากบาหลี ผลิตจากไม้ระแนง ไม้สัก ไม้โอ๊ค ด้วยความประณีตเป็นอย่างมาก เพราะหน้ากากหนึ่งชิ้นใช้เวลาผลิตหลายเดือนเลยทีเดียว ต้องอาศัยความอดทนและทุ่มเทของช่าง ใครอยากซื้อกลับไปแต่งบ้านสวยๆ ก็สามารถแวะเวียนไปเลือกซื้อและเยี่ยมชมการผลิตได้ด้วยนะ

4. ผลิตภัณฑ์ออแกนิคเกี่ยวกับความงาม
(ORGANIC BEAUTY PRODUCTS)


เพราะความสวยรอไม่ได้ ของฝากบาหลีชิ้นนี้ก็เช่นกัน ความลับของเหล่าราชวงศ์บาหลีที่เผยผิวสดใสอ่อนเยาว์ตลอดเวลาต้องนี่เลยค่ะ ผลิตภัณฑ์ออแกนิคเกี่ยวกับความงาม ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติแท้ๆ 100% จึงเป็นไอเท็มน่าซื้อกลับไทย ซึ่งมีทั้งสครับขัดผิว สบู่ น้ำมันชโลมผิว หาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าท้องถิ่นทั่วไปในบาหลีเลย

5. กาแฟบาหลี (BALI COFFEE)


เที่ยวบาหลี ต้องลอง กาแฟขี้ชะมด หรือ กาแฟชะมด สินค้าขึ้นชื่อของอินโดนีเซีย กาแฟที่คั่วกันสดๆ หอมๆ ได้รสชาติที่สดใหม่ และโดดเด่นด้วยความออร์แกนิค เป็นกาแฟจากเทือกเขา Kintamani เหมาะสำหรับเป็นของขวัญชั้นเยี่ยมให้กับคนรักกาแฟ เพราะกลิ่นหอมกรุ่น รสชาติดี แก้วเดียวไม่เคยพอ หาซื้อได้ตามร้านขายของฝากทั่วไป

6.ขนม PIE SUSU


มากันที่ของฝากที่เป็นขนมกันบ้าง มาบาหลีต้องได้ชิม Pie Susu ขนมพายโฮมเมดหวานอร่อย ไม่ใส่สารกันบูด รูปทรงวงกลม รสชาติดั้งเดิม ที่มีหน้าตาคล้ายเทียนประทีปในบ้านเรา อร่อยเหมาะสำหรับกินร่วมกับกาแฟ หรือชาร้อนๆ มีให้เลือกหลายรสชาติ หนึ่งกล่องบรรจุ 10 ชิ้น ราคาประมาณ 2.26 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นอีกหนึ่งของฝากที่น่าลองมากๆ

7. ขนมเปี๊ยะ PIA LEGONG


ส่วนของฝากที่คนรักขนมต้องซื้อกลับไทย ต้องนี่เลย ขนมเปี๊ยะ Pia Legong จากร้าน Kitchen House of Pia Legong อยู่ใกล้ท่าอากาศยานนานาชาติงูระห์ไร ขนมเลื่องชื่อจากบาหลี อบสดใหม่ มีให้เลือก 3 รสชาติยอดนิยม ได้แก่ ช็อคโกแลตชีส, ถั่วเขียว และชีส ซึ่งสั่งซื้อสูงสุดได้เพียง 5 กล่องเท่านั้น ราคากล่องละ 7.5 ดอลลาร์สหรัฐ บรรจุ 10 ชิ้น อร่อยหรือไม่ต้องลองพิสูจน์ เห็นว่าร้านนี้มีคนต่อแถวคิวยาวเป็นหางว่าวทุกวัน

เรียกได้ว่าเป็น 7 ของฝากจากบาหลี ที่ล้วนแล้วแต่แตกต่าง น่าลอง น่าจับจอง เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังจะไป ทัวร์บาหลี อินโดนีเซีย แต่ไม่มีไอเดียซื้อของฝาก ก็สามารถช้อปสินค้าตามรายการที่มัชรูมทราเวลแนะนำก็ได้นะ บอกเลยโดนใจชัวร์

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : mushroomtravel

8 ที่เที่ยวห้ามพลาดใน ‘บาหลี’

1

ครั้งนี้ tourkrub.co จะพาเราไปดู 8 ที่เที่ยวห้ามพลาดใน ‘บาหลี’ ซึ่งบาหลีเป็นเกาะเล็กๆ ของอินโดนีเซีย ซึ่งมีความสวยงามด้วยธรรมชาติที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวกับวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนใคร กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ชาวต่างชาตินิยมมากๆ ไม่ว่าจะเที่ยวฮันนีมูน หรือเที่ยวกับแก๊งค์เพื่อน เล่นเซิร์ฟ!

8 ที่เที่ยวห้ามพลาดใน ‘บาหลี’

1.วัดอูลันดานู บราตัน
( Pura Ulun Danu Bratan )

2

เป็นวัดที่สำคัญ 1 ใน 5 ของเกาะบาหลี ตั้งอยู่บริเวณริมทะเลสาบบราตันที่มีความสวยงามและมีมนต์ขลัง มีฉากหลังเป็นภูเขาที่สวยงามบนความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 1,000 เมตร สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 17 เพื่อใช้ทำพิธีกรรมทางศาสนาพุทธและฮินดู และสร้างไว้เพื่ออุทิศแด่ เทวี ดานู เทพแห่งสายน้ำท้องทะเลสาบบราตัน

2.วัดน้ำพุศักสิทธิ์
(Tirta Empul Temple)

3

วัดเตียร์ตาอัมปีล หรือวัดน้ำพุศักดิ์สิทธ์ซึ่งคนไทยมักจะเรียกกันว่า วัดตัมปะซีริง ภายในวัดท่านจะได้พบกับบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งปัจจุบันนี้ยังมีน้ำผุดขึ้นมาตลอดเวลา เชื่อกันว่าพระอินทร์ทรงสร้างขึ้นตอนที่เจาะพื้นพิภพเพื่อสร้างบ่อน้ำอมฤตชุบชีวิตนักรบของพระองค์

สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 10 บ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ใสสะอาดที่ผุดขึ้นจากใต้ดิน เป็นที่เคารพสักการะของชาวบาหลี ชาวบาหลีเชื่อว่าถ้าได้มาอาบน้ำ จะเป็นสิริมงคลและขับไล่สิ่งเลวร้าย และรักษาโรคต่างๆ ในทุกๆปีจะผู้คนนิยมเดินทางมาเพื่อชำระร่างกายให้บริสุทธิ์ ที่น้ำพุแห่งนี้เป็นจำนวนมาก

  1. วัดทานาล็อต (Tanah Lot)

4

วัดบนโขดหินริมมหาสมุทรอินเดีย และหน้าผามหัศจรรย์จุดชมวิวที่งดงามเป็นวิหารที่สร้างในศตวรรษที่ 16 โดยนักบุญนิธาราที่บำเพ็ญศีลภาวนาและศักดิ์สิทธิ์มากเป็นที่นับถือของชาวบาหลี และเชื่อกันว่ามีงูเทพเจ้าคอยปกปักรักษาอยู่ภายใต้วิหารแห่งนี้ลักษณะการสร้างวัดอยู่บนโขดหินคล้ายเกาะเล็กๆเวลาน้ำขึ้นจะดูเหมือนอยู่กลางทะเล เป็นวัดริมทะเล 1 ใน 5 แห่งของเกาะบาหลีที่มีภูมิทัศน์สวยงามกว่าแห่งอื่นๆ

4.วัดอูลูวาตู (Pura Uluwatu)

5

วัดอูรูวาตูมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของเกาะบาหลี มีลักษณะเด่นในเรื่องของความสวยงาม เพราะตั้งอยู่ริมหน้าผามหาสมุทรอินเดีย ไฮไลท์ของการมาชมวัดแห่งนี้ คือจุดชมวิวหน้าผาและมหาสมุทรอินเดีย ที่มีน้ำทะเลสีครามสาดเข้ากระทบกับแนวหน้าผาได้อย่างสวยงาม นอกจากนี้ก็ยังสามารถชมวิวได้อย่างสุดลูกหูลูกตาอีกด้วย

  1. นาขั้นบันได

6

นาข้าวขั้นบันไดอันเขียวขจี วิวของนาข้าขั้นบันไดแห่งนี้ถือว่าเป็นวิวที่สวยที่สุดในเกาะบาหลี ล้อมรอบไปด้วยบรรยากาศที่เย็นสบายเพราะตั้งอยู่ในความสูง 700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

มีนักท่องเที่ยว เข้าชมจำนวนมากโดยนักท่องเที่ยวจากประเทศในประเทศและต่างประเทศที่ต้องการสัมผัสกับบรรยากาศหนาวเย็นและพาโนรามาที่สวยงามของระเบียงข้าว ทางรัฐบาลอินโดนีเซีย กำลังจะเสนอชื่อให้องค์การ Unesco เพื่อขอมรดกโลก

  1. ภูเขาไฟบาตูร์

7

บริเวณนี้จะมีอากาศเย็นตลอดทั้งปีใกล้กับภูเขาไฟ คือทะเลสาบกูนุงบาร์ตูร์ และเราสามารถชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นได้อย่างสวยงามที่ภูเขาบาร์ตู

  1. วัดเบซากี (Pura Besakih)

8

ปุราเบซากิห์ หรือนิยมเรียกกันอีกชื่อว่า วัดแม่หรือวัดหลวงแห่งเบซากิห์ (Mother Temple of Besakih) วัดที่ใหญ่ที่สุด มีความสวยงามที่สุด และสำคัญที่สุดของบาหลี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนเป็นจำนวนมาก โดยด้านหลังของวัดนั้นเป็นภูเขาไฟกุนุงอากุง (Mount Agung) ภูเขาไฟที่สูงที่สุดของเกาะบาหลี

  1. ทามันอายุน

9

หรือวัดเมงวีซึ่งเป็นวัดที่เคยเป็นพระราชวังเก่าสร้างตอนศตวรรษที่ 17 เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมของกษัตริย์ราชวงศ์เม็งวี กำแพงประตูวัด ก่อด้วยหินสูง แกะสลักลวดลายวิจิตรบรรจง หลังคาปูด้วยหญ้าสิ่งก่อสร้างด้านใน ตกแต่งลวดลายงดงามตามแบบบาหลี มีสระน้ำล้อมรอบ

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : tourkrub.co

ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ :

  • Website tourkrub.co
  • Facebook Page  https://www.facebook.com/tourkrub.co

 

พิชิตยอดภูเขาไฟโบรโม่ อัญมณีแห่งชวาตะวันออก

1

หากพูดถึงภูเขาไฟ แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ก็คงจินตนาการถึงความน่าเกรงขาม และความน่ากลัวเมื่อภูเขาไฟเกิดการระเบิดและพ่นลาวาสูงเฉียดฟ้า ทั้งๆ ที่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ภูเขาไฟถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าพิศวงด้วยมีทัศนียภาพที่สวยงามซับซ้อน ดูน่าค้นหายิ่งนัก เพราะฉะนั้นวันนี้ เราจึงจะพาทุกท่านเดินทางสู่ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อไปยังภูเขาไฟโบรโม่ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอัญมณีบนมงกุฎของชวาตะวันออก อีกทั้งที่นี่ยังถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย

พิชิตยอดภูเขาไฟโบรโม่
อัญมณีแห่งชวาตะวันออก

2

โดยภูเขาไฟโบรโม่คือหนึ่งในภูเขาไฟที่ยังดับไม่สนิทจาภูเขาไฟทั้งหมดประมาณ 400 ลูกของอินโดนีเซีย ที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 2,392 เมตร ซึ่งเคยเกิดระเบิดมาแล้วถึง 3 ครั้ง ภายในระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ครั้งล่าสุดที่ภูเขาไฟโบรโม่เกิดการระเบิดก็คือเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2004 ที่ผ่านมา นอกจากนี้มันยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยว 1 ใน 10 แห่งอินโดนีเซียที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดอีกด้วย .. เปิดประตูสู่ความมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติ

พิชิตยอดภูเขาไฟโบรโม่ อัญมณีแห่งชวาตะวันออก

3

บนเนินเขาสูงกว่า 40 กิโลเมตร บนชายฝั่งทางตอนเหนือของหมู่เกาะชวาตะวันออก เมื่อนักเดินทางเพื่อมุ่งสู่ภูเขาไฟโบรโม่ จำเป็นที่จะต้องผ่านหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยเถ้าถ่านและหมอกควันจากภูเขาในแถบนี้ ที่ไม่ใช่แค่จากบรูโม่เท่านั้น เพราะภายในแถบนี้ยังเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟที่ยังไม่มอดดับอยู่อีก 2 ลูกด้วยกัน และสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางไปชมความงามอันน่ามหัศจรรย์ของภูเขาไฟโบรโม่ ส่วนใหญ่จะรีบเดินทางมาให้ถึงที่หมายก่อนฟ้าสาง เพื่อให้ทันเวลาก่อนที่พระอาทิตย์จะสาดแสงแห่งความสว่างไสวไปทั่วพื้นพิภพนั่นเอง

และสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีเป้าหมายที่จะพิชิตยอดภูเขาไฟโบรโม่ เส้นทางยอดนิยมก็คือการเดินทางจากสุราบายาสู่ เมืองโปรโบลิงโก้ แล้วไปต่อที่หมู่บ้านเซโมโร ลาวัง จากนั้นจึงพักค้างแรมที่นี่หนึ่งคืน เพื่อให้ทันกับการไปชมพระอาทิตย์ในช่วงเช้านั่นเอง รวมถึงการชมปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่ด้วย โดยเซโมโร ลาวังเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 2,000 เมตร มีอุณหภูมิหนาวเย็นในช่วงเวลากลางคืนและช่วงเช้ามืด ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่มาเยือนจำเป็นจะต้องพกพาเสื้อหนาวหรือกางเกงขายาวมาด้วยเป็นอย่างน้อย นอกเหนือจากเสื้อผ้าที่เหมาะสมสำหรับการปีนเขาหรือการเดินเท้าในระยะไกลๆ

4

Getting there
เส้นทางการเดินทางสู่ภูเขาไฟโบรโม่ถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางยอดนิยมของนักเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของนักเรียนมัธยมในพื้นที่ ที่ใช้เส้นทางนี้ในการเข้าค่ายสันทนาการ นอกจากนั้นก็ยังเป็นเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติผู้ที่รักการผจญภัยเช่นเดียวกัน โดยนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางมายังภูเขาไฟโบรโม่ หากไม่เลือกซื้อทัวร์ก็สามารถเดินทางมาด้วยตัวเองได้หลากหลายเส้นทาง แต่เส้นทางที่สะดวกสบายและได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือการเดินทางจากจุดเริ่มต้นที่ Juanda International Airport เมืองสุราบายาซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้กับภูเขาไฟโบรโม่มากที่สุดนั่นเอง

  1. นั่งแอร์พอร์ตบัสจาก Juanda International Airport ไปยังสถานีขนส่ง Bungur Asih เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองโปรโบลิงโก้ ก่อนจะต่อรถไปยังหมู่บ้านเซโมโร ลาวังที่ตั้งอยู่บริเวณขอบปากของแอ่งภูเขาไฟซึ่งเป็นหนทางสู่ภูเขาไฟโบรโม่ ทั้งนี้ค่าโดยสารสำหรับรสบัสด่วนปรับอากาศนั้นอยู่ที่ราคาประมาณ 25,000 รูเปียต่อคน ส่วนรถบัสธรรมดาราคาอยู่ที่ 14,000 รูเปียต่อคน และใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2-3 ชั่วโมง
  2. เมื่อเดินทางถึงเมืองโปรโบลิงโก้ นักท่องเที่ยวต้องต่อรถมินิบัสสีเขียวเพื่อไปยังหมู่บ้านเซโมโร ลาวังในราคาค่าโดยสารประมาณ 250,000-300,000 รูปเปียต่อคน (ขึ้นอยู่กับการต่อรอง) โดยมินิบัสนี้จะมีทั้งหมด 10 ที่นั่ง และรถจะออกเดินทางทันทีเมื่อมีผู้โดยสารขึ้นเต็มรถบัส ซึ่งบางครั้งอาจต้องรอนานถึง 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว ดังนั้นหากนักท่องเที่ยวเดินทางถึงเมืองโปรโบลิงโก้หลังเวลา 16.00 น. ควรจะหาที่พักค้างแรมภายในเมืองและเดินทางในตอนเช้าจะดีกว่า เนื่องจากในช่วงเย็นนั้นเป็นไปได้ยากที่จะมีผู้โดยสารเต็มคันรถ

5

ส่วนการเดินทางเพื่อขึ้นไปชมปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่ นักท่องเที่ยวจำเป็นจะต้องขี่ม้าหรือเดินขึ้นไป แต่ม้าจะสามารถไปส่งถึงเพียงแค่ไหล่เขาเท่านั้น ช่วงถัดไปนักท่องเที่ยวจะต้องเดินตามขั้นบันไดขึ้นไปด้วยตัวเอง ในระยะทางประมาณ 200 เมตร โดยในระหว่างทางจะมีที่พักให้ได้นั่งพักเหนื่อยเป็นจุดๆ ซึ่ง

กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวนิยมและชื่นชอบมากที่สุดเมื่อเดินทางถึงยอดภูเขาไฟโบรโม่ ก็คือ การเดินบนขอบปากปล่องภูเขาไฟนั่นเอง โดยเส้นทางจะมีลักษณะเป็นสันกว้าง นักท่องเที่ยวสามารถเดินได้โดยรอบ แต่อาจต้องใช้ความระมัดระวังมากสักหน่อยเนื่องจากขอบปากปล่องภูเขาไฟนั้นเป็นสันทรายที่ค่อนข้างลื่น นอกจากนั้นยังมีความเชื่ออีกหนึ่งอย่างก็คือ การซื้อดอกไม้จากชาวบ้านที่นำขึ้นมาขายแล้วอธิษฐานถึงสิ่งที่ต้องการแล้วโยนลงไปในปากป่องภูเขาไฟ อันเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมจากคู่รักหนุ่มสาวที่เดินทางมาเยือนที่นี่ที่ต่างขอให้ความรักของตนสมหวังและครองรักกันตราบชั่วนิรันด์นั่นเอง

ที่มา มัชรูมทราเวล

เรียบเรียงโดย; Travel MThai

6 7 8 9 10 11