เจลลี่โภชนา อาหารพระราชทาน จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ

เจลลี่โภชนา อาหารพระราชทาน จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ

01

อาหารพระราชทาน คือ อะไร?

อาหารพระราชทาน เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการวิจัยและพัฒนาภายใต้โครงการ “นวัตกรรมอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก” ซึ่งเป็นการดำเนินงานร่วมกันระหว่างมูลนิธิทันตนวัตนวัตกรรม ในพระบรมราชูปถัมภ์ หน่วยทันตกรรมพระราชทาน ในพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่มีความชำนาญเฉพาะด้านทั้ง 6 แห่ง คือ

02

  • มูลนิธิอานันทมหิดล
  • คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  • คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  • สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • ศูนย์มหาวชิราลงกรณ ธัญบุรี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
  • บริษัท อำพลฟูดส์ โพรเซสซิ่ง จำกัด

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาภาวะทุพโภชนาการและพัฒนาคุณภาพชีวิตในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งและโรคอื่นๆ ในช่องปากที่มีปัญหาเคี้ยวและกลืนลำบากให้สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวมักจะประสบปัญหาการรับประทานอาหารเนื่องมาจากการสูญเสียอวัยวะบดเคี้ยวหรืออาการเจ็บช่องปาก ทำให้รับประทานอาหารได้น้อย หรือไม่สามารถรับประทานอาหารทางปากได้ในผู้ป่วยบางราย ทำให้มีความจำเป็นต้องได้รับอาหารทางสายยาง  ปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวส่งผลให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เกิดปัญหาภาวะทุพโภชนาการและขาดคุณภาพชีวิตที่ดีในที่สุด ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจึงมีลักษณะนิ่มกลืนง่ายและมีสารอาหารให้พลังงานที่เหมาะสม

03

อาหารพระราชทาน 1 กล่อง มีปริมาตร 250 มิลลิลิตร ให้พลังงาน 230-260 กิโลแคลอรี จึงเหมาะสำหรับรับประทานเสริมเพื่อให้ได้รับพลังงานจากอาหารที่เพียงพอ และอาจสามารถทดแทนการให้อาหารทางสายยางได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  ปัจจุบันอาหารพระราชทานที่ผลิตสำเร็จแล้วมี 2 รสชาติ ได้แก่ รสชานมและรสมะม่วง

*อาหารพระราชทาน ผ่านการทำปราศจากเชื้อด้วยระบบ UHT จึงเก็บได้ 1 ปี โดยไม่ต้องแช่เย็น

04

วิธีรับประทานต้องทำอย่างไร?

  • ใช้กรรไกรตัดปากกล่อง แล้วใช้ช้อนตักรับประทาน หรือ เทออกใส่จานเพื่อรับประทาน
  • หลังจากเปิดกล่องแล้ว ควรรับประทานให้หมด หรือเก็บในตู้เย็นไม่เกิน 7 วัน
  • แช่เย็น เพื่อความอร่อย
  • สามารถรับประทานได้ทั้งผู้บริโภคทั่วไป และผู้มีปัญหาเรื่องการบดเคี้ยวและการกลืน
  • ผู้ที่มีปัญหาแพ้นม สามารถรับประทานได้
  • ผู้ที่มีปัญหาโรคไต หรือเบาหวาน ไม่ควรทานเกินวันละ 1 กล่อง

ที่มา: มูลนิธิทันตนวัตกรรม ในพระบรมราชูปถัมภ์, มหิดล และ Pantip

เรียบเรียงโดย: Travel MThai

 

 

วิลล่าวัฒนา พระตำหนักที่ประทับของรัชกาลที่ ๙ ในสวิตเซอร์แลนด์

วิลล่าวัฒนา พระตำหนักที่ประทับของรัชกาลที่ ๙ ในสวิตเซอร์แลนด์

01

วิลล่าวัฒนา (Villa Vadhana) เป็นพระตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี, สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในสวิตเซอร์แลนด์

02

๔ พระองค์ ณ พระตำหนัก วิลล่าวัฒนา ในสวิตเซอร์แลนด์

อีกหนึ่งเหตุผลที่ ทั้ง ๔ พระองค์ เสด็จฯ ประทับที่ต่างแดน ด้วยเหตุที่ว่า “น้องชายคนโตไม่แข็งแรง แม่เลยคิดว่าควรไปอยู่ต่างประเทศที่มีอากาศสบายๆ เสด็จลุง (รัชกาลที่ ๗) ทรงแนะให้ไปสวิตเซอร์แลนด์ … ต้นเดือนเมษายน ๒๔๗๖ แม่กับลูกสามคน พร้อมแหนนและบุญเรือน ก็ออกเดินทางด้วยรถไฟไปปีนัง แล้วลงเรืออเมริกันเพรสซิเดนต์เพียร์ซ ไปขึ้นที่เจนัว และต่อรถไฟไปโลซานน์ …”

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระนิพนธ์ไว้ในหนังสือ “แม่เล่าให้ฟัง” ถึงการเดินทางไปประทับต่างแดนในระยะยาว อีกทั้งในขณะนั้นบ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

03

วิลล่าวัฒนา (Villa Vadhana) ตั้งอยู่เลขที่ ๕๑ Chamblandes dessusv อยู่ระหว่างถนน Tour Haldimand กับถนน General Guisan เมืองปุยยี นอกเมืองโลซาน เป็นบ้าน ๓ ชั้น ขนาด ๑๓ ห้องนอน ตั้งอยู่บนเนินลาดในเนื้อที่ประมาณ ๔ ไร่ มีบริเวณและสวนผลไม้ หันหน้าไปทางทะเลสาบเจนีวา (ทะเลสาบเลม็อง – Lac Leman) และมองเห็นเทือกเขาแอลป์

04

ทะเลสาบเลมอง (Lac Léman) ไข่มุกของริเวียร่าแห่งสวิส (ขอบคุณภาพ Travel around the world)

ซึ่งทรงเลือกทะเลสาบเลอมอง (Lac Leman) เขตปุยยี (Pully) เป็นสถานที่พักผ่อนอยู่เสมอ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๘ และรัชกาลที่ ๙ ทรงเรือใบและกรรเชียงเรือเล่นในทะเลสาบแห่งนี้ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ชาวสวิสนิยมในช่วงฤดูร้อน

05

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเรือใบ ในทะเลสาบเลอมอง

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงตัดสินพระทัยย้ายออกจากแฟลตขนาด ๓ ห้องนอนที่ เลขที่ ๑๖ ถนนทิสโซต์ เมืองโลซาน เข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ ภายหลังการสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และรัฐบาลได้อัญเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติ

ห่างจากแฟลตจะเป็นที่ตั้งของที่ทำการไปรษณีย์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชดำเนินไปส่งจดหมายถวายสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และไม่ไกลกันคือสถานีรถไฟ และตลาด ที่ทั้งสี่พระองค์ทรงซื้อเครื่องเสวยเป็นประจำ

06

Cr. https://www.flickr.com/photos/qsimple/8662720255/in/photostream/

บนเนินเขาใกล้กับพระตำหนักวิลล่าวัฒนามีสวนสาธารณะเดอ น็องตู (Parc du Denantou) ให้ทั้งสี่พระองค์ได้ทรงพักผ่อนพระอิริยาบถอยู่เป็นประจำ พื้นที่ด้านในมีน้ำพุรูปปั้นลิงสามตัว กำลังทำท่าปิดหู ปิดปาก และปิดตา สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงนิพนธ์ว่าหมายถึง “ไม่ยอมฟัง ดู พูดในสิ่งที่เลว”

07

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา, พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่วิลล่าวัฒนา สวิตเซอร์แลนด์

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเช่าบ้าน วิลล่าวัฒนา หลังนี้จากเจ้าของในราคาเดือนละ ๘,๐๐๐ ฟรังก์สวิส โดยเจ้าของยินดีขายบ้านให้ในราคา ๙๖,๐๐๐ ฟรังก์สวิส แต่ไม่ได้ทรงซื้อไว้ เพราะไม่มีเงินก้อน ทรงย้ายเข้ามาอยู่ที่วิลล่าวัฒนา เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ และทรงใช้ชีวิตที่นี่เป็นเวลาสิบกว่าปี ทรงตั้งชื่อบ้านหลังนี้ว่า “วิลล่าวัฒนา” ตามพระนาม “สว่างวัฒนา” ของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และพระนามของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จออกไปประทับที่แฟลตเลขที่ ๑๙ ถนนอาวองต์ โพสต์ ภายหลังพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสระหว่าง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กับ สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ โดยมีพระประสงค์ให้ทั้ง ๒ พระองค์มีความเป็นส่วนพระองค์

ปัจจุบันเจ้าของบ้านได้รื้อบ้านหลังนี้ลง เนื่องจากสภาพทรุดโทรม และสร้างใหม่เป็นอาคารอะพาร์ตเมนต์ ๓ ชั้นสำหรับให้เช่าพักอาศัย ตั้งชื่อว่า “อาคารเลขที่ ๕๑” (Chamblandes ๕๑)

08

เมื่อสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จกลับยังประเทศไทย ทรงสร้างพระตำหนัก ๖ ชั้นหลังใหม่ เลขที่ ๑๕ ซอยบ้านดอน ถนนสุขุมวิท ๔๗ ในบริเวณติดต่อกับพระตำหนักเลอดิส ซอยแสงมุกดา ถนนสุขุมวิท ๔๓ แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๐ เพื่อใช้เป็นที่ทรงงานและเป็นที่รับแขก ทรงตั้งชื่อพระตำหนักหลังใหม่ว่า พระตำหนักวิลล่าวัฒนา ตามชื่อพระตำหนักที่ทรงใช้ชีวิตมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์

09

วิลล่าวัฒนา หลังใหม่ แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๐

ขอบคุณที่มาข้อมูลและรูปภาพ: สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบิร์น www.thaiembassy.ch, สำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์, พ.ศ. 2550, หนังสือ “แม่เล่าให้ฟัง”, ตามรอยยุวกษัตริย์ สวิตเซอร์แลนด์, Travel MThai

 

 

แบกเป้ตะลุย “ม่อนปุยหมอก”

แบกเป้ตะลุย ม่อนปุยหมอก

01

รู้จัก “ม่อนปุยหมอก” ไหม? ที่ถามอย่างนี้กับทุกคนก็เพราะว่า แทบไม่มีใครรู้จักที่นี่เลย อาจเป็นเพราะยังไม่มีใครกล่าวถึงมากเท่าที่ควร ม่อนปุยหมอกจึงกลายมาเป็นจุดหมายปลายทางที่เเซงหน้าสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ที่เราอยากจะพาคุณไปสัมผัสขึ้นมาอย่างทันที

02

ม่อนปุยหมอก” เป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามและอลังการของทะเลหมอก ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติแม่เมย อ.ท่าสองยาง จ.ตาก มีพื้นที่ติดกับชายแดนพม่าโดยมีแม่น้ำเมยเป็นเส้นกั้นเขตแดน นอกจากม่อนปุยหมอกแล้วอุทยานฯ แห่งนี้ยังมีม่อนครูบาใส ม่อนกระทิง ม่อนกิ่วลม และม่อนพูนสุดา ที่สามารถชื่นชมทะเลหมอกได้สวยงามไม่แพ้กันม่อนปุย หมอกที่ว่าใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3-4ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 3.8 กิโลเมตร ทั้งขาไปและกลับ ที่พิเศษคือต้องเดินทางจากอุทยานฯ ด้วยเท้าเท่านั้น

03

04

จุดเด่นที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของที่นี่คือ หมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงตั้งอยู่ละแวกเดียวกับ อุทยานแห่งชาติแม่เมย คนในชุมชนแทบทุกคนจะคุ้นชินกับทางขึ้นม่อนปุยหมอกชนิดหลับตาเดินยังได้ทางอุทยานฯจึงให้คนในชุมชนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมารับหน้าที่ไกด์และลูกหาบ ถือเป็นรายได้เสริม ส่วนจุดเด่นอีกอย่างคือ เนินทุ่งหญ้าขนลิง มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าสีทองกระจายอยู่ทั่วเนิน เป็นอีกจุดถ่ายรูปที่สามารถใช้เวลาได้สักพักใหญ่เลย

05

เดินทางมาไกลขนาดนี้ แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ การได้สัมผัสกับความสงบท่ามกลางทะเลหมอกและแสงอาทิตย์ยามเช้าที่แสนจะเรียบง่าย ถือเป็นไฮไลท์เด็ดที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงบรรยากาศดีขนาดนี้ก็คงต้องถามทุกคนใหม่แล้วว่า… “ไปเที่ยวม่อนปุยหมอกกันไหม?”

06

วิธีการเดินทาง

  • เดินทางจากบขส. หมอชิต-แม่สอด ใช้เวลารวม 7 ชั่วโมงต่อรถแดงแม่สอด-แม่เสรียง (ที่ บขส.แม่สอด) ใช้เวลาเดินทางต่ออีก 3 ชั่วโมง
  • อย่าลืมกำชับบอกน้าคนขับลงปากทางเข้าอุทยานแห่งชาติแม่เมยด้วยนะ
  • หลังจากนั้นสามารถโบกรถขึ้นไปอุทยานแห่งชาติแม่เมยต่อได้เลย (ไม่มีรถโดยสารสาธารณะ)

ใครไม่คิดจะไปเช็คอินที่ ม่อนปุยหมอก ก็คงถือว่าพลาดมากๆ เลยล่ะ…

 

เครดิตจาก: นิตยสาร Weekend ฉบับเดือนมิถุนายน 2016

เรียบเรียงโดย: Travel MThai