นอนเต๊นท์ “Glamping” หรูหรา พักสบาย ไม่ต่างจากโรงแรม

นอนเต๊นท์ “Glamping” หรูหรา พักสบาย ไม่ต่างจากโรงแรม

ใครอยากไปพักแบบธรรมชาติ กางเต็นท์แบบนี้บ้าง เตรียมตัวกันให้ดีจ้า

ซึ่งเต็นท์แบบนี้เรียกว่า Glamorous Camping ก็คือ การพักเต๊นท์แต่ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้นนั่นเอง และก็ยังได้ใกล้ชิด สัมผัสธรรมชาติเหมือนนอนเต๊นท์ทุกอย่าง เรียกย่อๆว่า นอนเต๊นท์ Glamping นั่นเอง ซึ่งกำลังจะมีที่เมืองไทย เร็วๆนี้ โดย Singha หากมีข้อมูลเพิ่มเติม ทางทีมงาน Travel MThai จะรีบนำมาอัพเดตกันเลยจ้า

01

02

03

Glamping หรือ แกลมปิ้ง คือ จริงๆความหมายก็คล้ายๆกับไป camping  แคมป์ปิ้ง คือการกางเต๊นท์กันกลางป่า ต่างกันต่าง Glamping จะมีความหรูหรา สะดวกสบายกว่านั่นเอง  เช่น มีห้องน้ำเป็นกิจจะลักษณะ หรือแม้แต่การทำอาหาร ไม่ต้องสุ่มไฟโดยใช้ไม้แล้วช่วยกันพัดแบบเมื่อก่อน แต่จะมีครัว, เตา ให้ทำอาหารกันอย่างสะดวกแม้แต่ตัวเต๊นท์เองก็จะติดแอร์  มีทีวี ตู้เย็น ครบครัน บางเต็นท์ในห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำด้วยจ้า ทุกอย่างคล้ายโรงแรม แต่อยู่ในเต๊นท์เท่านั้นเอง

04

05

06

07

08

09

10

11

12

14

15

17

18

19

20

21

22

ขอบคุณรูปภาพ: คุณTrachoo Kanchanasatitya

 

 

 

 

 

 

1 ตุลาคมนี้ ได้เวลาเปิดภู เตรียมไปพิชิต “ภูกระดึง”

1 ตุลาคมนี้ ได้เวลาเปิดภู เตรียมไปพิชิต ภูกระดึง

ในฤดูหนาวแต่ละปี จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางผจญภัยไปในที่ต่างๆ ทั่วเมืองไทย โดยส่วนมากจะเป็นการเที่ยวภูเขา เที่ยวดอย เพื่อให้เหมาะกับฤดูกาลและรับลมหนาวอย่างเต็มที่ และมีอยู่สถานที่หนึ่ง ที่เป็นเหมือนไอคอนหลักในการเที่ยวหน้าหนาว เพราะมีทั้งการเดินเท้าขึ้นเขา สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ประกอบเขาบนยอดเขามีจุดชมวิวทะเลหมอก ชมพระอาทิตย์อันเลื่องชื่อ พร้อมน้ำตกและแมกไม้นานาพรรณ ที่แห่งนั้นก็คือ “ภูกระดึง” ซึ่งในปีนี้ จะเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปล่าทะเลหมอก ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 59

01

ขอบคุณภาพจาก siamtravel.in.th

ภูกระดึง ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ ลำดับที่ 2 ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2505 ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย ครอบคลุมพื้นที่ 348.13 ตารางกิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาหินทรายยอดตัด โดยมีที่ราบบนยอดภูกระดึงประมาณ 60 ตารางกิโลเมตร

ภูกระดึง มีระดับความสูงอยู่ระหว่าง 400 – 1,200 เมตร จุดสูงสุดอยู่ที่บริเวณคอกเมย มีความสูง 1,316 เมตร สภาพทั่วไปของภูกระดึงประกอบไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด พันธุ์สัตว์ป่านานาพันธุ์ หน้าผา ทุ่งหญ้า ลำธาร และน้ำตก อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ต้นน้ำของลำน้ำพองซึ่งเป็นลำน้ำสายสำคัญสายหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ด้วยความสูง บรรยากาศ และสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดปีบนยอดภูกระดึง โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวอุณหภูมิอาจลดต่ำจนถึง 0 องศาเซลเซียส จึงเป็นแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวปรารถนาที่หวังจะเป็นผู้พิชิตยอดภูกระดึงสักครั้งหนึ่งในชีวิต

02

ขอบคุณภาพจาก dnp.go.th

ภูมิอากาศของอุทยานแห่งชาติภูกระดึงบริเวณที่ระดับต่ำตามเชิงเขา มีสภาพโดยทั่วไปใกล้เคียงกับบริเวณอื่นๆ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนตุลาคม ฝนตกชุกที่สุดระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน อุณหภูมิเฉลี่ยรายปี 26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุดในเดือนมกราคม และอุณหภูมิสูงสุดในเดือนเมษายน

ในช่วงฤดูฝน มักเกิดภัยธรรมชาติ เช่น เกิดการพังทะลายของภูเขาและมีน้ำป่า ทางอุทยานแห่งชาติจึงกำหนดให้ปิด-เปิดการท่องเที่ยวเฉพาะบนยอดเขาภูกระดึง เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และให้สภาพธรรมชาติและสภาพแวดล้อมได้มีการพักฟื้นตัว หลังจากนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมอย่างมากในแต่ละปี ดังนี้

– ปิดฤดูการท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน – 30 กันยายน ของทุกปี
– เปิดฤดูการท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 31 พฤษภาคม ของทุกปี

03

ภาพจาก nikonianthailand.com

04

ภาพจาก pixpros.net

การได้ถ่ายรูปกับป้าย ครั้งหนึ่งในชีวิต เราเป็นผู้พิชิตภูกระดึงยังคงเป็นที่นิยมคลาสสิกตลอดกาล นอกจากการชมทัศนียภาพบนยอดภูแล้ว ไฮไลท์สำคัญที่พลาดไม่ได้คือการชมดอกเมเปิ้ลสีแดงสดริมธารน้ำตก

05

ภาพจาก travel.thaiza.com

การเดินขึ้นภูกระดึงไม่ลำบากมากนัก แต่ระยะทางจะไกลและชัน แต่ระหว่างทางจะมีจุดให้แวะพักเหนื่อยต่างๆ ตามลำดับ ได้แก่ ปางกกค่า ซำแฮก ซำบอน ซำกกกอก พร่านพรานแป ซำกกหว้า ซำกกโดน และซำแคร่ หากเดินขึ้นภูตั้งแต่เช้า อากาศจะค่อนข้างเย็นสบาย มีสิ่งที่น่าสนใจให้ชมไปตลอดทาง โดยเฉพาะสภาพทางธรณีและสภาพป่าที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นระยะๆ จากป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา จนถึงหลังแป จากหลังแปถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางจะเป็นทางราบท่ามกลางทุ่งหญ้าป่าสนเขาอันกว้างใหญ่ รวมระยะทางจากทางขึ้นไปถึงหลังแปและศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง ประมาณ 9 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง

แหล่งท่องเที่ยวบนภูกระดึงส่วนใหญ่มีทางเดินชมธรรมชาติติดต่อถึงกันหมด ฉะนั้น ผู้ที่จะไปท่องเที่ยวบนภูกระดึงควรใช้เวลาอย่างน้อย 3 วัน เพื่อจะได้เที่ยวชมธรรมชาติที่สวยงามเหล่านั้นได้ทั่วถึง

07

ภาพจาก www.shots.net

08

ภาพจาก chiangraifocus.com

ท่านที่ประสงค์จะเข้าไปท่องเที่ยวและพักแรมบนยอดภูกระดึง สามารถติดต่อสอบถาม หรือสำรองการเข้าไปใช้บริการล่วงหน้าได้โดยตรง ณ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง โทรศัพท์หมายเลข 0-42810-833 และ 0-42810-834 ในเวลาราชการ (08.00 น.-16.30 น.) กรณีที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางมาท่องเที่ยวพักแรมบนยอดเขาที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึงนั้น ให้มาติดต่อซื้อค่าบริการบุคคลก่อนเวลา 13.30 น. และในเวลา 14.00 น. ของทุกวันจะทำการปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นเขาและลงเขาในแต่ละวัน

09

ภาพจาก dnp.go.th

10

ภาพจาก: dnp.go.th

ขอบคุณข้อมูล: www.dnp.go.th  เรียบเรียงโดย: Travel MThai  

 

 

 

ตำโคตรถาดลาบนัว ของร้าน “ลาบนัว” รสชาติสำหรับคนที่หลงใหลในส้มตำ

ตำโคตรถาดลาบนัว ของร้าน ลาบนัว รสชาติสำหรับคนที่หลงใหลในส้มตำ

01

หากคุณคือคนกินส้มตำที่เข้าขั้นหลงใหลในส้มตำ “ตำโคตรถาดลาบนัว” ของร้าน “ลาบนัว” แห่งจังหวัดอุดรธานีจะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน ลูกค้าที่เต็มร้านตั้งแต่ร้านเปิด และถึงขั้นต้องรอคิวกันในช่วงหัวค่ำทุกวันเป็นเครื่องการันตีในเรื่องนี้ได้อย่างดี

02

เรียกได้ว่า “ลาบนัว” เป็นอีกหนึ่งร้าน “the must” อีกร้านหนึ่ง สำหรับนักกินที่มีโอกาสไปเยือนเมืองอุดรธานี จะว่าไป ร้านลาบนัว ไม่ใช่ร้านอาหารหน้าใหม่ที่ต้องมาบรรยายสรรพคุณให้มากความกันนัก เพราะเป็นร้านอาหารที่คนเมืองอุดรรู้จักกันดี และคอส้มตำคงจำกันได้ดีว่า “ลาบนัว” เคยสร้างปรากฏการณ์ “ตำถาดลาบนัว” จนกลายเป็นเมนูอาหารสุดฮอตไปทั่วไปประเทศมาแล้ว (ดู http://food.mthai.com/food-inbox/87595.html)

03

วันนี้ลาบนัวได้สร้างปรากฏการณ์ทางอาหารอีกครั้งกับ “ตำโคตรถาดลาบนัว” ที่ถูกอกถูกใจคอส้มตำเป็นอย่างมาก ทั้งรูปร่างหน้าตาของอาหารและรสชาติอาหาร โดย “ตำโคตรถาดลาบนัว” เป็นการผสมผสาน คุณภาพและรสชาติอาหาร เข้ากับความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างลงตัว (แค่ดูรูปก็น้ำลายไหลแล้ว)

04

ตำโคตรถาดประกอบไปด้วย ส้มตำ, ปลาเผา, กุ้งเผา,ข้าวเหนียว, ไข่ต้ม, หอยแมลงภู่, กุ้งเล็ก, หอยแครง,หอยหวาน,ปลาหมึก, ยำหอยนางรม, ผัดหมี่, หมี่ขาว, ตีนไก่, ก้อยไข่มดแดง หรือลาบหมู (อาจมีการปรับเปลี่ยนเครื่องเคียงตามฤดูกาล) เรียกได้ว่า จัดเต็มกันไปแบบสุดๆ ถ้าลองสั่งมาดูแล้วจะรู้เลยว่า เพียงแค่เครื่องเคียงที่จัดมาก็คุ้มค่าคุ้มราคาเป็นอย่างยิ่งในส่วนของรสชาติ ส้มตำของร้านลาบนัวเป็นหนึ่งในร้านที่ขึ้นชื่อในจังหวัดอุดรธานีอยู่แล้ว เพราะร้านลาบนัวคุมเข้มเรื่องความเข้มข้นและจัดจ้านของรสชาติส้มตำจริงๆ เน้นความครบเครื่อง ความนัว ความแซ่บ ต้องมีความสมบูรณ์ของรสชาติก่อนจะส่งออกไปให้ลูกค้าลิ้มลองใครที่มองหาส้มตำรสชาติเด็ด ประสบการณ์การตำส้มตำรวมกันหลายสิบปีของมือตำลาบนัว จะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน

หากจะว่าด้วยความคิดสร้างสรรค์ “ตำโคตรถาดลาบนัว” ก็น่าจะผ่านข้อสอบวิชาศิลปะแบบสบายๆ เพราสังเกตได้เลยว่า ทุกโต๊ะที่สั่งตำโคตรถาดต่างเอามือถือขึ้นมาถ่ายรูปก่อนกินทั้งนั้น

แอบกระซิบนิดนึงว่าเบื้องหลังความสวยงามของ “ตำโคตรถาดลาบนัว”และอาหารอื่นๆ ของร้าน คือวัตถุดิบคุณภาพที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี ยิ่งร้านขายดีวัตถุดิบยิ่งสดเพราะสั่งมาขายกันวันต่อวันไม่มีสต๊อกเหลือค้าง

05

นอกจาก “ตำโคตรถาดลาบนัว” แล้ว ลาบนัวยังดึงเอาจุดเด่นของรสชาติส้มตำตัวเองมาผสมกับความคิดสร้างสรรค์เพื่อตอบโจทย์ “คนที่หลงใหลในส้มตำ” อย่างไม่รู้จบ เช่น ตำสี่หอย ตำลาวกุ้งดิบ ตำมั่วทะเล และหากเราจะไม่กล่าวถึง “ตำลาวกุ้งดิบ” ของร้านลาบนัว ก็คงจะตกเทรนด์เลยทีเดียว เพราะจัดเป็นเมนูที่ฮอตฮิตของร้านลาบนัว ณ เวลานี้เช่นกัน หากสายแข็งทางส้มตำมาต้องไม่พลาด เพราะรสชาติและความจัดจ้านมาเต็มพิกัด ความสดของกุ้งและความนัวของส้มตำเข้าคู่กันได้ดีทีเดียว

06

ขึ้นชื่อว่าเป็นร้านอาหารอีสาน ลาบนัวไม่ได้มีดีแค่ส้มตำเท่านั้น อาหารอีสานอื่นๆ ที่รสชาติ “จัดว่าเด็ด” ไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น ลาบขม ต้มแซ่บก้อย ไส้กรอกอีสาน ปีกไก่ทอด ฯลฯ ความไม่ธรรมดาของเมนูอีสานที่ลาบนัวคือ การรักษาสมดุลของ “อาหารอีสานขนานแท้” ตามแบบฉบับอุดรธานีกับรสชาติที่ถูกปากคนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัว เรียกได้ว่าถูกใจทั้งคนที่ชอบอาหารอีสานแบบดั้งเดิมและคนที่ไม่คุ้นเคยกับอาหารอีสาน

เวลาที่เราไปร้านอาหารคนที่ลูกค้าเยอะ หลายครั้งจะรู้สึกอึดอัดร้านคับแคบ แต่จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของร้านคือการตกแต่งในร้านที่เน้นความสะดวกสบายของลูกค้า บรรยากาศโล่งๆ พื้นที่กว้าง ทำให้แม้ลูกค้าจะเต็มร้าน แต่ก็ไม่รู้สึกแออัด นอกจากนี้ ร้านยังวางคอนเซปให้เหมาะสำหรับทั้งลูกค้าที่มากันเป็นครอบครัว และลูกค้าที่มาเพื่อสังสรรค์กินดื่มกัน

ถ้าคุณคนที่หลงใหลในส้มตำแล้วอยากลองส้มตำรสชาติสุดแซ่บและตำด้วยความคิดสร้างสรรค์ ร้านลาบนัว ที่จังหวัดอุดรธานีจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง

08

09

10

11

12

13

14

15

16

17

18

ที่ตั้ง: ร้านลาบนัว อุดรธานี ถ.ประชาอุทิศ ต.หมากแข้ง

เวลา: 17.00 – 24.00 นใ

เบอร์: 085 111 0009

ขอบคุณข้อมูล: Food MThai