พาเยือน 4 มรดกโลก โปรตุเกส ดินแดนแห่งนักเดินเรือ

โปรตุเกส ประเทศที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นดินแดนแห่งประวัติศาสตร์นักเดินเรือ สืบเนื่องจากวัฒนธรรมการเดินเรือของชาวโปรตุเกสที่มีมาตั้งแต่โบราณนั่นเอง ทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนโปรตุเกสจะรู้สึกถึงกลิ่นอายการเดินเรืออยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง และยังมีสถานที่ที่ถูกประกาศให้เป็น มรดกโลก โดยองค์การยูเนสโกถึง 15 แห่ง ซึ่งทริป The Ultimate BMW M Track Experience 2018 จึงได้พาผู้ร่วมทริปไปชมความงามของ มรดกโลก โปรตุเกส ถึง 4 แห่งด้วยกัน

4 มรดกโลก โปรตุเกส

วิหารเจโรนิโม (Jeronimos Monastry)

เป็นวิหารเก่าแก่ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรืองของโปรตุเกส โดยภายในวิหารตกแต่งอย่างหรูหราด้วยสถาปัตยกรรมแบบมานูเอลไลน์ (Manuelline) มีลวดลายของซุ้มประตูแกะสลักที่สวยงาม ซึ่งใช้เวลาสร้างนานถึง 70 ปี ทั้งยังถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโกอีกด้วย และภายในวิหารยังเป็นที่ฝังศพของ วาสโก ดากามา (Vasco da Gama) นักเดินเรือสำรวจผู้ยิ่งใหญ่ชาวโปรตุเกส ที่ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการค้นพบเส้นทางเดินเรือจากเมืองลิสบอน สู่มหาสมุทรอินเดีย เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 1497 ผ่านแหลมกู๊ดโฮป (Cape of Good Hope) แอฟริกาใต้ แล้วล่องเรือขึ้นเหนือสู่มหาสมุทรอินเดีย และเสียชีวิตที่เมืองโคชิ (Kochi) ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 1524 ซึ่งมีช่วงชีวิตอยู่ในสมัยอยุธยาตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 พอดี

หอคอยบีเล็ม (Torre de Belem)

หนึ่งในแลนด์มาร์คของเมืองลิสบอนที่ใครๆ ต่างต้องแวะเวียนไปถ่ายรูป ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเทกัส (Tagus) หอคอยนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1515 โดยพระเจ้าคิงจอร์นที่ 2 (King John II) จากฝีมือการก่อสร้างของ Francisco de Arruda สถาปนิกคนสำคัญในยุคนั้น ตัวหอคอยสร้างขึ้นด้วยหินอ่อนมีความสูงกว่า 30 เมตร มีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นป้อมปราการป้องกันเมืองริมฝั่งแม่น้ำเทกัสของเขตบีเล็ม ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 1983 ซึ่งในปัจจุบันกลายสภาพเป็นเกาะติดริมชายฝั่ง

ปราสาท Quinta da Regaleira

อีกหนึ่ง มรดกโลก โปรตุเกส ที่ออกแบบโดย Antonio Augusto Carvalho Monteiro และ Luigi Manni สถาปนิกคนเดียวกันที่ออกแบบ La Scala ที่โด่งดังในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี โดยเปิดให้เข้าชมความงามของตัวปราสาทและพื้นที่สวนโดยรอบ มีทั้งโบสถ์ ทะเลสาบ ป้อมปราการ บันไดวนที่เป็นเส้นทางลับสู่อุโมงค์ใต้ดิน เป็นปราสาทที่มีทั้งความสวยงามและลึกลับมากทีเดียว

ปราสาทพีน่า (Pena Castle) หรือ พระราชวังแห่งชาติพีน่า

สถานที่แห่งนี้เป็นทั้ง มรดกโลก โปรตุเกส และยังเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งโปรตุเกส ตัวปราสาทที่ตั้งสง่าโดดเด่นอยู่บนหน้าผาสูงชัน มองเห็นเมืองด้านล่างได้โดยรอบ ตัวปราสาทตกแต่งด้วยศิลปะแบบ Romanticism หรือศิลปะแบบจินตนาการนิยม เน้นการใช้ เส้น แสง สี ที่เร้าใจ สะท้อนอารมณ์ หากได้มาชมในวันที่ฝนตกโปรยปรายหรือมีหมอกลงหนาจะให้ความรู้สึกเหมือนได้มาเยือนปราสาทในดินแดนเทพนิยายเลยจริงๆ

ประสบการณ์สุดๆ แบบนี้ จัดขึ้นพิเศษเพื่อผู้ใช้รถยนต์ BMW และสมัครเข้าร่วมโปรแกรมสิทธิประโยชน์ The Ultimate JOY Experience ที่นี่ที่เดียว

เที่ยวไต้หวัน เตรียมเสื้อผ้าอย่างไร ให้พร้อมทุกฤดู

เที่ยวไต้หวัน เตรียมเสื้อผ้าอย่างไร ให้พร้อมทุกฤดู

ไต้หวัน ยังคงเป็นท็อปฮิต destination ของนักเดินทางหลายคน แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่เหมือนกับไปเที่ยวประเทศอื่นๆ ก็คือ ควรแต่งตัวยังไงในแต่ละฤดูนี่สิ วันนี้เราจะมาจบปัญหานี้กัน เพราะเราจะพาทุกคนไปเตรียมเสื้อผ้าให้พร้อมก่อน เที่ยวไต้หวัน ซึ่งที่นี่มีทั้งหมด 4 ฤดูกาลด้วยกันค่ะ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว สภาพอากาศและการแต่งกายก็จะแตกต่างกันไป

ฤดูใบไม้ผลิ

สำหรับฤดูใบไม้ผลิไต้หวันนั้น เริ่มต้นในเดือนมีนาคม – เดือนพฤษภาคมค่ะ อุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ 16 และสูงสุดที่ 29 องศา แต่โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 25 องศา ค่ะ ถือว่าอากาศกำลังเย็นสบายๆ ไม่หนาวจนเกินไป ซึ่งในฤดูนี้จะมีดอกซากุระบานที่ อุทยานอาลีซาน (Alishan) ด้วยนะคะ ถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะกับการไปดื่มด่ำกับธรรมชาติที่ไต้หวันสุดๆเลยค่ะ

ขอบคุณรูปภาพจาก : eng.taiwan.net

แต่งตัวยังไงดีนะ ?

การแต่งตัวเที่ยวไต้หวันในฤดูใบไม้ผลินั้นไม่ยากค่ะ สามารถใส่เสื้อเชิ๊ตแขนสั้น รองเท้าผ้าใบ พร้อมกางเกงขายาว พร้อมเสื้อแจ็คเก็ต หรือเสื้มคลุมไม่หนามาก เอาไว้กันลมกันนิดนึงก็เพียงพอแล้วค่ะ

*******************************************************

ฤดูร้อน

ฤดูร้อนของไต้หวันจะเริ่มในเดือนมิถุนายน – เดือนกันยายน อุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ 25 และสูงสุดที่ 34 องศา โดยอุณภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 30 องศา เรียกได้ว่าร้อนแบบน้องๆ เมืองไทยเลยค่ะ และเป็นช่วงที่ฝนตกมากที่สุดของปี ทำให้มีสภาพอากาศร้อนชื้นค่ะ ซึ่งหากใครมาเที่ยวไต้หวันหน้าร้อน ขอแนะนำให้ตรวจสอบพยากรณ์อากาศกันให้ดี เพราะเดี๋ยวเจอฝนจะหมดสนุกเอาได้ค่ะ

กิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเลยคือการเที่ยวชมเมือง เพราะถ้าไม่มีฝนแล้วอากาศจะแจ่มใสที่สุด ฟ้าครามสวยเหมาะกับการถ่ายรูปวิวทิวทัศน์

แต่งตัวยังไงดีนะ ?

ดังนั้นการแต่งตัวเที่ยวไต้หวันในฤดูนี้สามารแต่งตัวเหมือนเราอยู่เมืองไทยได้เลยค่ะ ใส่เสื้อเชิ๊ตที่ระบายอากาศได้ดี สวมใส่สบาย คู่กับกางเกงขายาวที่ผ้าไม่หนามาก หรือกางเกงขาสั้นก็ได้ค่ะ พร้อมรองเท้ารัดส้นแบบชิดๆ และอย่าลืมพกแว่นกันแดดคู่ใจ พร้อมทาครีมกันแดดกันด้วยนะคะ ฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้เปลี่ยนสีก็มา…

*******************************************************

ฤดูใบไม้ร่วง

หลังจากผ่านมรสุมในหน้าร้อนมา อากาศก็เริ่มเย็นขึ้นในฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม – เดือนพฤศจิกายน โดยมีอุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ 19 และสูงสุดที่ 28 องศา แต่โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20 องศา อากาศเย็นๆ กำลังดี บรรยากาศจะเปลี่ยนจากสีเขียว เป็นสีส้มแดง โดยเฉพาะต้นเมเปิลที่มักจะมีอยู่ตามภูเขาและสถานที่ท่องเที่ยวเก่าแก่ หลายคนอาจจะเคยไปชมใบไม้เปลี่ยนสีของญี่ปุ่นกันมาแล้ว ขอบอกว่าต้องลองมาชมใบไม้เปลี่ยนไต้หวันสักครั้ง ต้องติดใจแน่นอน

แต่งตัวยังไงดีนะ ?

การแต่งตัวเที่ยวไต้หวันฤดูใบไม้ร่วงนั้น ขอบอกว่าต้องพกไอเทมกันหนาวกันมากขึ้นแล้วล่ะค่ะ เพราะอากาศเริ่มเย็นขึ้นแล้ว ดังนั้นหากมาเที่ยวไต้หวันในฤดูใบไม้ร่วง ก็อาจจะต้องติดเสื้อแจ็คเก็ตกันหนาวกันมาสักหน่อย หรือใส่เสื้อเชิ๊ต เสื้อยืดแขนยาว พร้อมกางเกงขายาว และรองเท้าผ้าใบ แค่นี้ก็ตะลุยไต้หวันได้

*******************************************************

ฤดูหนาว

ฤดูหนาวของไต้หวันจะเริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม ไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนเรื่องความหนาวเย็นของไต้หวันนั้น การันตีได้เลยว่า  ฟิน ไม่แพ้ประเทศอื่นๆ เลยค่ะ ในฤดูหนาวจะมีอุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ 18 องศา สูงสุดอยู่ที่ 24 องศา โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 16 องศา การเที่ยวไต้หวันในฤดูนี้ นิยมไปชมทะเลหมอก พร้อมฟินกับอากาศเย็น บนยอดเขาอาลีซาน  ส่วนกิจกรรมน่าเที่ยวในช่วงนี้คือเทศกาลตรุษจีนอันยิ่งใหญ่ ที่จะเริ่มในช่วงปลายเดือนม..-..

แต่งตัวยังไงดีนะ ?

แน่นอนว่าในฤดูหนาวเราอย่างนี้ ได้โอกาสในการหยิบไอเทมหน้าหนาวคู่ใจมาใส่โชว์กันซะแล้ว การแต่งตัวเที่ยวไต้หวันสามารถใส่เป็นเสื้อแขนยาวด้านใน คลุมด้วยเสื้อโค้ท หรือเสื้อกันหนาวด้านนอก พร้อมกางเกงขายาวและรองเท้าผ้า แต่ในบางพื้นที่ที่อากาศอุณหภูมิเลขตัวเดียว ขอแนะนำให้เตรียมถุงมือ และหมวกไปด้วย จะได้อุ่นกาย เที่ยวได้สบายใจกันตลอดทริปค่ะ

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : tourkrub ,skyscanner ,eng.taiwan

เที่ยวชุมชนกุฎีจีน เสพความคลาสสิก ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

เที่ยวชุมชนกุฎีจีน เสพความคลาสสิก ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

พักจากการเที่ยวต่างจังหวัด กลับมาเที่ยวในกรุงเทพฯ กันบ้าง เพราะเมืองหลวงของเราก็มีที่น่าเที่ยวเยอะแยะมากมาย โดยเฉพาะย่านเมืองเก่าในเขตต่าง ๆ ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและน่าสนใจ วันนี้ travel.mthai.com ขอพาท่านไป เที่ยวชุมชนกุฎีจีน ชุมชนเก่าแก่ย่านธนบุรี เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ยอดเยี่ยม และสถานที่อันสวยงาม อีกทั้งยังเป็นถิ่นกำเนิดของขนมฝรั่งกุฎีจีน ในประเทศไทยอีกด้วย

ชุมชนกุฎีจีน เป็นชุมชนเก่าแก่ของชาวไทยเชื้อสายโปรตุเกส ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี ร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของชุมชนแห่งนี้ แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตและเรื่องราวอันน่าสนใจมากมาย ดดยเฉพาะสัมพันธภาพภายใต้ความแตกต่างของเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมในชุมชนที่ประกอบไปด้วยชาวจีน อินเดีย และยุโรป ที่อยู่ร่วมกันอย่างปรองดองเป็นเวลานานกว่า 200 ปี

ท่าเรือขึ้นฝั่ง ชุมชนกุฎีจีน

บ้านไม้โบราณ ที่ยังคงอนุรักษ์ไว้

ตรอกซอกซอย มีกราฟฟิตี้ บอกใบ้จุดเด่นของชุมชน

ขนมฝรั่งกุฎีจีน

ถือเป็นขนมโบราณที่ยังคงยึดสูตรตามตำรับดั้งเดิมของชาวโปรตุเกส ที่เข้ามาตั้งรกรากในชุมชนตั้งแต่รัชสมัยของ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ขนมกุฎีจีนเป็นลุกผสมระหว่างจีนกับฝรั่ง ตัวขนมเป็นต้นตำรับของโปรตุเกส ขณะที่หน้าของขนมเป้นแบบจีน ที่ประกอบไปด้วยฟักเชื่อม ซึ่งคนจีนเชื่อกันว่าถ้าทานแล้วจะทำให้อยู่เย็นเป็นสุข

ขนมฝรั่งกุฎีจีน

ขนมกุฎีจีนมีลักษณะคล้ายขนมไข่ มีกรรมวิธีในการทำค่อนข้างเรียบง่าย โดยเริ่มจากการตีไข่และน้ำตาลให้ขึ้นฟู แล้วนำมาผสมกับแป้งสาลี ก่อจะนำมาหยอดใส่พิมพ์ แล้วเข้าเตาอบโบราณ ทำให้ขนมมีความกรอบนอกนุ่มใน และมีความหอมแบบเฉพาะตัวอีกด้วย หากคุณได้แวะมาเยี่ยมเยียนชุมชนแห่งนี้ ก็ควรแวะชิมหรือซื้อขนมฝรั่งกุฎีจีนติดมือกลับไปฝากที่บ้านด้วย โดยมีร้านขึ้นชื่ออยู่ 3 แห่ง คือ ร้านขนมป้าเป้า ร้านขนมแม่เล้ก และร้าน xxx

นอกจากนี้ยังมีขนมต้นตำรับที่หากินได้ยาก อย่างกระทงทองและช่อม่วง อีกด้วย

สถานที่น่าสนใจใกล้เคียง

โบสถ์ซางตาครูซ

โบสถ์ซางตาครูซ

โบสถ์ซางตาครูซ ถือเป็นศาสนสถานสำคัญที่ยืนหยัดอยู่คู่ชุมชมกุฎีจีนมายาวนานกว่า 100 ปี คำว่า “ซางตาครูซ” เป็นภาษาโปรตุเกส แปลว่า “กางเขนศักดิ์สิทธิ์” ตัวอาคารของโบสถ์เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิกและเรเนอซองซ์ มีลักษณะดดดเด่นคือหอระฆังทรงแปดเหลี่ยมประดับด้วยไม้กางเขนบนยอด ตัวอาคารก่ออิฐประดับลายปูนปั้น ส่วนล่างเป็นห้องโถงประกอบด้วยซุ้มโค้งที่สอดรับกัน ตกแต่งด้วยกระจกสีที่ถ่ายทอดเรื่องราวจากพระคัมภีร์

โบสถ์ซางตาครูซ

ศาลเจ้าเกียนอันเกง

ศาลเจ้าเกียนอันเกง

ศาลเจ้าแห่งนี้ มีสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายในที่ผสมผสานระหว่างการใช้กระเบื้องโค้งและวิธีมุงหลังคาแบบจีนแท้ ๆ นอกจากนี้ยังคงเหลือร่องรอยของศิลปะปูนปั้นอันงดงาม ที่สำคัญแม้จะได้ชื่อว่าเป็นศาลเจ้าจีน แต่ศาลเจ้าเกียนอันเกงยังคงสภาพความเก่าแก่ ปราศจากการทาสีตกแต่งจนจัดจ้าน และมีบรรยากาศอันเงียบสงบร่มรื่น หาได้ยากยิ่งในย่านเมืองกรุง นอกจากนี้ศาลเจ้าเกียนอันเกง ยังเคยได้รับรางวัลอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่น ประเภทปูชนียสถานและวัดวาอาราม ในปี 2551 มาแล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก : Nikon ประเทศไทย  ,  เรื่องและเรียบเรียงโดย MuzTong – Travel MThai