10 วัดศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ที่ครั้งหนึ่งควรไปสักการะเพื่อเป็นมงคลชีวิต

10 วัดศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ที่ครั้งหนึ่งควรไปสักการะเพื่อเป็นมงคลชีวิต

เดินทางไหว้พระรับพรที่วัดศักดิ์สิทธิ์ พร้อมศึกษาประวัติความเป็นมาของอาณาจักรที่หยั่งรากลึกมานานกว่าพันปี

01

ทางเว็บไซต์ Skyscanner นำเสนอวัดสำคัญ 10 แห่ง จากทั่วไทย ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองตั้งแต่สมัยโบราณกาล เป็นสถานที่ที่ไม่ควรพลาดสำหรับใครหลายๆ คนที่ได้มีโอกาสไปเยือนในจังหวัดนั้น หรือกำลังวางแผนจะไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์รับพรชีวิต จะมีที่ใดบ้าง ลองติดตามกัน…

02

วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่

03

เป็นวัดคู่เมืองล้านนามาช้านาน ตั้งอยู่บนดอยสูงซึ่งเชื่อกันว่าแต่เดิมเป็นที่บำเพ็ญภาวนาของฤาษีสุเทวะ สร้างขึ้นในสมัยพญากือนา พ.ศ. 1929 เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ต่อมาใน พ.ศ. 2100 พระมหาญาณมงคลโพธิ์แห่งวัดอโศการาม เมืองลำพูน ได้สร้างบันไดนาคหลวงสู่พระธาตุเพื่อให้ประชาชนได้ขึ้นไปสักการะพระธาตุได้ ง่ายขึ้น และต่อมาในปี พ.ศ. 2477 ครูบาศรีวิชัย ได้ริเริ่มสร้างถนนขึ้นสู่ดอยสุเทพ ในบริเวณทางขึ้นจะมีอนุสาวรีย์ของครูบาศรีวิชัยอยู่ด้วย นอกจากนี้ภายในเขตวัดก็ยังมีงานพุทธประติมากรรม ศิลปกรรมอื่นๆ อีก เช่น ฉัตร 4 มุม สัตติบัญชร (รั้วหอก) หอยอ หอท้าวโลกบาล ไหดอกบัว อนุสาวรีย์ฤาษีสุเทวะ และบันไดนาคเป็นต้น

สถานที่ตั้ง: ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

วัดพนัญเชิงวรวิหาร จังหวัดอยุธยา

04

วัดนี้ถูกสร้างขึ้นก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าใครเป็นผู้สร้าง แต่ตามพงศาวดารเหนือกล่าวว่าพระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นผู้สร้าง ณ บริเวณที่พระราชทานเพลิงศพของพระนางสร้อยดอกหมาก และทรงได้พระราชทานนามว่า “วัดพระนางเชิง” ในพระวิหารเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโต พระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ที่สุดของอยุธยา ซึ่งคาดว่าได้มีการสร้างขึ้นในราวปี พ.ศ. 1867 ชื่อว่า “พระพุทธเจ้าพนัญเชิง” หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนาม “หลวงพ่อโต” ในรัชสมัยของ ร.4 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณะวัดและหลวงพ่อโตครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2497 และทรงพระราชทานนามใหม่ว่า “พระพุทธไตรรัตนนายก” ชาวไทยจีนนิยมเรียกกันว่า “หลวงพ่อซำปอกง” งานศิลปกรรมภายในวัดมีทั้งศิลปะสมัยสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ มีตึกสถาปัตยกรรมแบบจีน “ตำหนักเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก” และมีรูปปั้นของพระองค์ในเครื่องแต่งกายแบบจีนประดิษฐานอยู่ด้วย

สถานที่ตั้ง: ตำบลคลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดอยุธยา

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุราชวรวิหาร “วัดมหาธาตุ” “วัดมหาธาตุเชลียง” จังหวัดสุโขทัย

05

เป็นวัดหลวงโบราณขนาดใหญ่ที่สำคัญของสมัยสุโขทัย ตั้งอยู่ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย มีโบราณสถานสำคัญอยู่ภายในอาณาเขตวัด เช่น พระมหาธาตุเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ มณฑปพระอัฏฐารศประดิษฐานพระอัฏฐารศ พระพุทธรูปศิลปะลังกาสูง 19 ศอก วิหารหลวงก่อด้วยศิลาแลงที่เคยประดิษฐานพระศรีสากยมุนีพระพุทธรูปสำริดขนาด ใหญ่ ซึ่งสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระธรรมราชาลิไทในปี พ.ศ. 1905 และต่อมาได้อัญเชิญไปประดิษฐาน ณ วิหารหลวงวัดสุทัศน์เทพวราราม กรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่ 1 และเจดีย์ 5 ยอดที่เชื่อกันว่าบรรจุพระบรมอัฐิของพระธรรมราชาลิไท

สถานที่ตั้ง: ตำบลศรีสัชนาลัย อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) จังหวัดกรุงเทพฯ

06

เป็นวัดที่รัชกาลที่ 1 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นพร้อมกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระอารามหลวงตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอกของพระบรมมหาราชวัง และเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา แต่ใช้เพื่อประกอบพิธีกรรมต่างๆ ของบ้านเมือง เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร “พระแก้วมรกต” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของ นอกจากนี้ก็ยังมีพระพุทธรูปและงานศิลปกรรมแขนงต่างๆ ที่น่าสนใจอีกมาก เช่น พระมณฑป พระศรีรัตนเจดีย์ ปราสาทพระเทพบิดร หอพระมณเฑียรธรรม วิหารยอดหอพระนาก ศาลาราย พระอัษฎามหาเจดีย์ (พระปรางค์ 8 องค์) หอพระคันธารราษฎร์ มณฑปยอดปรางค์ หอระฆัง เจดีย์ทอง 2 องค์ นครวัดจำลอง งานจิตรกรรมฝาผนังรอบพระระเบียงคดเรื่องรามเกียรติ์อันสวยงามและมีความยาว ที่สุดในโลก และรูปปั้นยักษ์ทวารบาลเฝ้าประตู เป็นต้น

สถานที่ตั้ง: แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร จังหวัดกรุงเทพฯ

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) จังหวัดกรุงเทพฯ

07

วัดประจำรัชกาลที่ 1 และยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระองค์ภายใต้พระประธานในพระอุโบสถ “พระพุทธเทวปฏิมากร” อีก ด้วย โดยวัดแห่งนี้แต่เดิมเป็นวัดเก่าตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และถูกยกฐานะเป็นพระอารามหลวงในสมัยกรุงธนุรี เดิมชื่อวัดโพธารามหรือวัดโพธิ์ ตั้งขนาบพระบรมมหาราชวัง แต่ด้วยความทรุดโทรมของวัดเมื่อเปลี่ยนราชวงศ์ รัชกาลที่ 1 จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดขึ้นมาใหม่ และพระราชทานนามว่าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส และรัชกาลที่ 4 ได้ทรงปรับนามเป็นวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร วัดแห่งนี้มีพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ที่มีความยาวถึง 46 เมตร และสิ่งน่าสนใจอื่นๆ อีก เช่น รูปปั้นฤาษีดัดตน พระมหาสถูป พระเจดีย์ วิหารสี่ทิศ และยักษ์วัดโพธิ์ เป็นต้น

สถานที่ตั้ง: แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร จังหวัดกรุงเทพฯ

วัดพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม

08

ตามตำนานกล่าวไว้ว่าองค์พระธาตุเดิมมีอายุกว่า 2300 ปี สร้างขึ้นโดยพระมหากัสสปะ พระอรหันต์ 500 องค์ และเจ้าพระยามหานครต่างๆ เพื่อประดิษฐานพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) และทรัพย์สมบัติมีค่ามากมาย เมื่อพ.ศ. 2518 องค์พระธาตุได้ล้มทลายลงมาจึงได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ครอบองค์เดิม ไว้ ในบริเวณวัดแห่งนี้มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกนำไปใช้ในพระราชพิธีราชาภิเษก ของทุกรัชกาล และจะมีงานสมโภชพระธาตุจัดขึ้นทุกปีในวันเพ็ญเดือน 3 วัดพระธาตุแห่งนี้เป็นที่เคารพทั้งในหมู่พุทธศาสนิกชนชาวไทยและชาวลาว

สถานที่ตั้ง: ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม

วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร จังหวัดสกลนคร

09

ตามตำนานเล่าว่าพระพุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์ได้เสด็จมาประทับรอยพระบาทที่วัดแห่งนี้ นอกจากนี้ยังพบหลักฐานแท่นบูชาขอมโบราณ และศิลาจารึกอักษรขอมในราวศตวรรษที่ 15- 16 ในผนังทางเข้าอุโมงค์พระธาตุ องค์พระธาตุในปัจจุบันเป็นศิลปะล้านช้างจากการที่ได้รับการบูรณะในราวศตวรรษ ที่ 19 ภายในพระวิหารวัดเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อพระองค์แสน พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะเชียงแสน พระคู่เมืองสกลนคร นอกจากนี้ภายในวัดยังมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีมาพร้อมพระธาตุ ในอดีตมีการนำน้ำจากที่นี่ไปประกอบพิธีกรรมสำคัญๆ ของเมือง มีพระอุโบสถที่มีจิตรกรรมอันวิจิตร และหอกลองหรือหอระฆังที่สร้างโดยชาวเวียดนามเพื่อถวายองค์พระธาตุเชิงชุม

สถานที่ตั้ง: ริมหนองหาน อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร

วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร จังหวัดสุพรรณบุรี

11

สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองและเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในภูเก็ต วัดแห่งนี้เป็นที่ศรัทธาของชาวเมืองที่ศรัทธาในตัวหลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อช่วง และหลวงพ่อเกลื้อมที่เลื่องลือเรื่องการปรุงยาสมุนไพรรักษาโรคร้ายต่างๆ นอกจากนี้หลวงพ่อแช่มยังได้ช่วยเหลือชาวภูเก็ตต่อสู้กับกบฏอั้งยี่ในปี พ.ศ. 2419 จนเป็นความเชื่อกันมาถึงปัจจุบันว่าหากได้ไปนมัสการหุ่นขึ้ผึ้งจำลองของหลวง พ่อทั้งสามที่วัดฉลองแล้วจะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตอย่างมาก ภายในวัดมีโบราณสถานและงานศิลปกรรมสำคัญมากมาย เช่น พระมหาธาตุเจดีย์พระจอมไทยบารมีประกาศประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุอายุกว่า 2200 ปีที่อัญเชิญมาจากศรีลังกา ภาพจิตรกรรมฝาผนังพุทธประวัติของพระพุทธเจ้า กุฏิจำลองของหลวงพ่อ รูปหล่อยักษ์ “นนทรีย์” และตา “ขี้เหล็ก” เฝ้าพระประธาน “ท่านเจ้าวัด” ในวิหารเก่าแก่

สถานที่ตั้ง: อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรมหาวิหาร จังหวัดสุราษฏร์ธานี

12

มีองค์พระเจดีย์โบราณของลัทธิมหายานที่สร้างขึ้นในสมัยอาณาจักรศรีวิชัย รุ่งเรืองราวศตวรรษที่ 13-14 ถือเป็นสถาปัตยกรรมศรีวิชัยองค์เดียวที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ภายในวัดยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ อีก เช่น พระพุทธรูปเก่าแก่ทำด้วยศิลาแลงปางสมาธิและพระพุทธรูปเก่าแก่ต่างๆ ในระเบียงคดรายรอบองค์พระธาตุ และพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เป็นต้น

สถานที่ตั้ง: ตำบลเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี

——————————-

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก: skyscanner.co.th และ Travel MThai

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เกาะมัตรา เสน่ห์ทะเลชุมพร ที่คุณต้องไปสัมผัส!

จังหวัดชุมพร อีกหนึ่งจังหวัดน่าเที่ยวในภาคใต้ และสถานที่แนะนำให้นักท่องเที่ยวต้องหาโอกาสไปสัมผัสธรรมชาติที่สวยงามของ

เกาะมัตรา หรือ เกาะมาตรา อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและน่ามาเยือนมากที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดชุมพร

โดยเกาะมัตรานั้นอยู่ในเขตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร

 

Post_20110421103120

 

เกาะมัตรา หรืออีกชื่อคือ เกาะตังกวย อยู่ห่างจากหาดทรายรีไปทางทิศตะวันออก ประมาณ 7 กิโลเมตร

เป็นเกาะที่มีหาดทรายสีขาวสะอาด บริเวณรอบๆ เกาะยังเหมาะสำหรับการดำน้ำดูปะการังน้ำตื้นที่สวยงาม

ใกล้กับหาดทรายรีเป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ มีหาดทรายสลับกับโขดหิน สามารถไปตั้งเต็นท์พักแรม

และมีบ้านพักของอุทยานฯบริเวณหัวแหลมของเกาะมีแนวปะการังน้ำตื้น เช่น ปะการังเขากวาง และดอกไม้ทะเล

กิจกรรมการท่องเที่ยวของเกาะมาตรา คือ การดำ น้ำชมปะการัง ดูหอยมือเสือและชมปูไก่ ซึ่งชอบปีนต้นไม้และส่งเสียงร้องเหมือนลูกไก่อีกด้วย

 

 

6CYzMnq7U

 

 

ปัจจุบันแนวปะการังขอ งเกาะมัตรา ถือเป็นแหล่งดำน้ำตื้นที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของหมู่เกาะชุมพร ส่วนใครที่ไม่ถนัดเรื่องดำน้ำ

ก็สามารถเดินเล่นริมหาดทรายสีขาวสะอาด ชมพระอาทิตย์ตกดินหรือจะเลือกว่ายน้ำเล่นริมทะเล ก็สนุกไม่แพ้กัน

นอกจากนี้แล้วเกาะมาตรา หรือ เกาะมัตรา ยังใช้เวลาเดินทางจากท่าเรือท่ายางเพียงแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น

 

 

spd_20130403124019_b

 

 

IMG-9978-1-1024x682

 

 

 

ข้อมูลและภาพ : กลุ่มงานข้อมูลสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานจังหวัดชุมพร / travel.thaiza.com / gotcha.co.th /

 

เรียบเรียงโดย Travel MThai

 

 

นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง ไฮไลท์หน้าฝนที่คุณห้ามพลาด

นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง ไฮไลท์หน้าฝนที่คุณห้ามพลาด

 

เข้าหน้าฝน เป็นสัญญาณเตือนแห่งการล่าทะเลหมอก ชมภูเขาเขียว ๆ กลิ่นน้ำค้าง และสายน้ำใสไหลเย็น

โดยแหล่งท่องเที่ยวที่แจ่มที่สุดในฤดูกาล ก็คืออำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ กับ นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง

สถานที่ที่จะทำให้คุณลืมโลกอันแสนวุ่นวาย คุณจะได้ขลุกตัวอยู่กับธรรมชาติแบบใกล้ชิด พร้อมทัศนียภาพสุดตระการตา

จึงได้เป็นไฮไลท์แห่งฤดูฝน  ขอชวนให้ทุกท่านไปเที่ยวกัน

 

IMG_5416_fhdr

 

 

บ้านป่าบงเปียง อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ที่ตั้งของนาขั้นบันไดที่สวยงามสุด ๆ อีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย

ด้วยวิวท้องทุ่งนาบนเนินเขาสูงบวกกับวิวเทือกเขาสลับซับซ้อน เกิดเป็นจุดชมวิวที่สวยงามน่าชมอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่

ในช่วงฤดูฝน และปลายฝนต้นหนาว เป็นช่วงที่เหมาสมมากกับการมาสัมผัสบรรยากาศดี ๆ และความสวยงามของท้องทุ่งนาเขียวและเหลือง

 

 

IMG_6115_fhdr

 

 

IMG_4352_fhdr1

 

 

บ้านป่าบงเปียง” เป็นหมู่บ้านของชาวเขาปกากะญอ ชาวบ้านที่นี่ได้ใช้พื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่ทำกินกันมาหลายรุ่น

โดยปลูกทั้งข้าว ข้าวโพด และพืชผักต่าง ๆ เอาไว้ประทังชีวิตในครัวเรือน

 

 

IMG_4304_fhdr

 

 

IMG_5310

 

 

ในช่วงเดือนกรกฎาคม จะเป็นช่วงดำนา หากไปในยามแสงอาทิตย์ตกกระทบกับพื้นนา คุณจะได้ภาพที่สวยงามมาก

ถัดมาในช่วงเดือนสิงหาคม คือช่วงนาเขียว ใครอยากไปสัมผัสความเขียวขจีของนาข้าว ไม่มีผิดหวัง

และสุดท้ายคือเดือนกันยายน จะเป็นช่วงนาเหลืองก่อนจะเก็บเกี่ยว เป็นอีกโมเมนต์นึงที่น่าประทับใจ

ด้วยนาสีเหลืองทองอร่าม คงจะฟินน่าดู เรียกได้ว่า 3 เดือนข้างต้นนี้ สวยไม่แพ้กัน แล้วแต่ว่าคุณละเลือกแบบไหน ?

 

 

IMG_7202_fhdr

 

 

 

 

IMG_5547

 

 

 

 

 

 

IMG_6239_fhdr

 

 

 

 

IMG_6415

 

 

 

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : www.chilldtravel.com

 

เรียบเรียงโดย : Travel MThai