รำลึกหลวงพ่อคูณ ชมความงดงามสุดยิ่งใหญ่ ณ วิหารเทพวิทยาคม

อาลัยการจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ แห่งวัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา

พระเกจิอาจารย์อันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย จึงขอพาท่านไปเที่ยวชม วิหารเทพวิทยาคม

สิ่งปลูกสร้างทางศาสนาสุดยิ่งใหญ่ หากท่านใดมีเวลา ลองแวะไปสัมผัสความสวยงามของวิหารหลังนี้กัน

 

20140623_3_1403509054_9257901

ภาพจาก painaidii.com

 

ด้วยความอุตสาหะและความสามัคคีของชาวบ้าน ทำให้เกิดวิหารเซรามิคโมเสกกลางน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย!

สร้างขึ้นจากความตั้งใจของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ที่ต้องการให้คนเข้าใจพระพุทธศาสนาได้อย่างง่ายๆ

โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่สุดแสนอลังการ ตั้งแต่ รูปปั้นพญานาค19 เศียร ประตูท้าวจตุโลกบาล

และเศียรช้างขนาดใหญ่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สุดแสนจะจรรโลงใจ ต้องไปให้เห็นกับตา

 

IMG_5384-e1432093270683

ภาพจาก pooyapathew3.blogspot.com

 

-e1432093580212

ภาพจาก plus.google.com

 

วิหารเทพวิทยาคม ตั้งอยู่ในวัดบ้านไร่ (วัดหลวงพ่อคูณ) ตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา

มีชื่อเสียงเนื่องจากหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ พระเกจิชื่อดัง เป็นที่เคารพศรัทธาของคนทั้งประเทศ

ท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ จึงทำให้วัดแห่งนี้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปด้วย หลวงพ่อคูณเป็นพระชาวบ้าน

ที่เข้าถึงมวลชนทุกระดับชั้น ตั้งแต่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน นักการเมืองไปจนถึงชาวบ้าน

ด้วยท่านมีเมตตามหานิยม มีวิธีการสั่งสอนที่ตรงไปตรงมาง่ายแก่การเข้าใจ

วัดบ้านไร่

 

จากกรุงเทพฯ ใช้ถนนพหลโยธิน (ทางหลวงหมายเลข 1) มุ่งหน้าสู่จังหวัดสระบุรี

ประมาณ 75 กิโลเมตร ถึงตัวเมืองสระบุรี เมื่อถึงตัวเมืองสระบุรีแยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2 (มิตรภาพ)

จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา ประมาณ 89 กิโลเมตร จะถึงเขื่อนลำตะคอง

ขับตรงไปอีกประมาณ 14 กิโลเมตร จะพบกับป้ายบอกทางถนนสาย 201 กับ ถนนสาย 24 ให้เลี้ยวซ้าย

ไปทางถนนสาย 201 (ไปจังหวัดชัยภูมิ) จากนั้นขับตรงไปมุ่งหน้าสู่อำเภอด่านขุนทด

พอถึงอำเภอด่านขุนทดให้ท่านขับตรงไปอีก จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าถนนสาย 2217

จากนั้นขับตรงไป ประมาณ 11 กิโลเมตร ก็จะถึง “วัดบ้านไร่”

 

IMG_5563-e1432094666403

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : watbaanrai.com  ,

เรียบเรียงโดย : Travel MThai

 

เมอร์ไลอ้อน สะเทือน! เมื่อเจอ พญาคันคาก แลนด์มาร์คแห่งยโสธร

เมอร์ไลอ้อน สะเทือน! เมื่อเจอ พญาคันคาก แลนด์มาร์คแห่งยโสธร

จังหวัดยโสธร ได้ทำการสร้างแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของจังหวัด เพื่อเป็นจุดเด่นให้ผู้คน

สามารถจดจำเมืองยโสธรได้มากยิ่งขึ้น สิ่งนั้นก็คืออาคารพญาคันคากขนาดใหญ่ (คางคก)

สูงเท่ากับตึก 5 ชั้น เด่นส่องมองเห็นแต่ไกล อยู่ริมลำน้ำทวนในตัวเมืองยโสธร และเมื่อมองจากมุมข้าง

หลายคนเห็นพ้องต้องกันว่า พญาคันคาก คือแฝดคนละฝากับเมอร์ไลอ้อน แห่งสิงคโปร์ เลยทีเดียว

CE5R1jXUMAA-bsg

 

อาคารพญาคันคาก เป็นส่วนหนึ่งของวิมานพญาแถน ที่นอกจากนี้ยังมีอาคารพญานาคอีกด้วย

อาคารพญาคันคาก เป็นอาคารประติมากรรม เป็นรูปพญาคันคาก ขนาดใหญ่ ความสูง 19 เมตร

งบการก่อสร้าง 18.9 ล้านบาท โดยภายในตัวอาคาร จะมีการจัดเป็นนิทรรศการ เกี่ยวกับประวัติ

ความสำคัญ ความเชื่อที่เกี่ยวกับวิถีคนอีสาน ตำนานบั้งไฟ ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว

ที่พักผ่อนอันยิ่งใหญ่ สวยงาม ของจังหวัดยโสธร

 

พญาคันคาก

ถ้าผ่นน้ำได้ รับรองว่า เมอร์ไลอ้อนแห่งสิงคโปร์ มีสะเทือนแน่นอน ฮ่า ๆ

 

2896347972

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : thainews.prd.go.th  รูปภาพ : LIFESTER , www.thaitv3.com

 

เรียบเรียงโดย : Travel MThai

 

ถ้ำแก้วโกมล ความมหัศจรรย์ ที่มีเพียง 1 ใน 3 ของโลก

ความมหัศจรรย์ในเมืองไทย นั้นมีอีกหลายแห่งที่รอให้ทุกท่านได้ไปค้นหา ในเมื่อมันแค่ตั้งรออยู่

แล้วทำไมเราถึงไม่หาเวลาออกไปพบมันละ ถ้ำแก้วโกมล จ.แม่ฮ่องสอน ก็เป็นที่สุดยอดแห่งความงาม

ที่ไม่ได้โด่งดังเพียงในประเทศไทยเท่านั้น แต่ไปไกลถึงระดับโลกแล้ว… สวยแค่ไหนต้องเดินทางไปดูด้วยตาตัวเอง

 

awb_image1452553163452.JPG

การเดินทาง : ใช้เส้นทางสายเอเซียเข้านครสวรรค์ – กำแพงเพชร – ตาก – เถิน

จากนั้นใช้เส้นทางออกจากเถิน – ลี้ (106) – ดอยเต่า – ฮอด (1103) ทางช่วงจากเถิน – ลี้

ในช่วงแรก ๆ ประมาณ 19 กม. จะเป็นทางโค้งลับตาเลยครับยังไงก็ขับแบบระมัดระวัง

ถึงโค้งก็บีบแตรรถ (เน้นว่าแตรรถ) เส้นทางลาดยาง 2 เลนรถสวนทางกันจากนั้นก็จะมาพบกับ

ถนนเส้น 108 (เชียงใหม่ – แม่สะเรียง) วิ่งเข้าตัว อ.ฮอด พอถึงวงเวียนหอนาฬิกา

ก็เลี้ยวซ้ายไป อ.แม่สะเรียงตรงไปประมาณ 30 กม. จะมีป้ายบอกทางเข้าถ้ำแก้วโกมลทางด้านขวามือติดกับ โรงพยาบาลแม่ลาน้อย

 

จากหน้าโรงพยาบาลแม่ลาน้อยแยกเข้าไปอีก 6 กม. ตรงนี้แหละที่มีการเปลี่ยนใหม่

จากที่สามารถขับรถขึ้นไปได้ ก็เปลี่ยนเป็นต้องจอดรถไว้ที่นี่ แล้วนั่งรถ 2 แถวขึ้นไป

ประมาณ 6 กม. เนื่องจากทางแคบ และชันมาก เกิดอุบัติเหตุบ่อย …เดินรถได้ทางเดียว

ไม่สวนทางกัน ขึ้นก็คือขึ้น ลงก็ลงอย่างเดียว

ถ้ำแก้วโกมล

ถ้ำแก้วโกมล เป็นถ้ำที่ค้นพบด้วยความบังเอิญโดยวิศวกรชาวไทย ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำผลึกแคลไซต์

ที่ประกอบด้วยหินในตระกูลคาร์บอเนต ชนิดแอนไฮดรัสคาร์บอเนต ที่มีความใสกาวบริสุทธิ์

มีรูปลักษณ์หลากหลายลักษณะ มีรูปผลึกอยู่ในระบบสามแกนราบ ส่วนใหญ่เป็นรูปหกเหลี่ยม

ยาวยอดแหลมหรือรูปสี่แหลมขนมเปียกปูน มีแนวแตกเรียบที่สมบูรณ์ 3 แนว

1_display-7

ภายในถ้ำแบ่งเป็นห้องต่างๆ 5 ห้อง ให้เราได้เดินชมกันอย่างต่อเนื่อง ยิ่งลึก ยิ่งสวยงามจับตา

ใกล้ปากทางเข้าถ้ำ คือห้องแรก “พระทัยธาร” มีหินงอกหินย้อยและผลึกแคลไซต์

ที่ได้รับผลกระทบจากการสำรวจในยุคแรกๆ

 

1_display-5

 

ห้องนี้มี ที่มาจากการที่น้ำในถ้ำ ละลายกับหินปูนทำให้เกิดภาพน้ำไหลเหมือนเป็นธารน้ำตก

พระทัยธารซึ่งเป็นห้องแรกนี้ เป็นห้องที่ได้รับความเสียหายจากการระเบิดอุโมงค์มากที่สุด

สังเกตได้จากเศษหินที่กระจัดกระจายอยู่ภายใน มีโพรงที่จากการทำเหมืองตามสายแร่ฟลูออไรต์

หินงอก หินย้อยต่างๆได้รับความเสียหายจากการสำรวจไปมาก จึงไม่งดงามมากนัก

ความงามของห้องที่ก็คงจะมีเพียงร่องรอยลวดลายสายน้ำตกอันเป็นที่มาของชื่อ ห้องเท่านั้น

 

1_display-3

ถัดมาเป็น ห้องที่มีชื่อพระราชทานว่า “วิมานเมฆ” ตั้งตามลักษณะของแร่ที่อยู่ตามเพดาน

ซึ่งดูคล้ายปุยเมฆเป็น ห้องนี้มีลักษณะเป็นช่องยาว บางช่วงเป็นรูแคบ ๆ ซึ่งเป็นลักษณะของโพรงน้ำไหลในอดีต

ทำให้มีความลำบากในการเดินสำรวจ มีหินงอก หินย้อย และบางจุดมีผลึกแร่แคลไซต์เกาะอยู่

แต่มีความงดงามไม่มากนัดเนื่องจาก ผลึกบางส่วนได้แตกหักเสียหายและมีรอยเปื้อนจากการถูกจับต้องระหว่างการเข้าสำรวจ

 

ห้องที่ 3 เกิดจากจินตนาการขององค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ที่ทรงทอดพระเนตร

แล้วเหมือนอยู่ในป่าหิมพานต์ตามวรรณคดีไทย จึงมีชื่อพระราชทานว่า “เฉกหิมพานต์”

1_display-4

เข้าสู่ห้องที่ 4 ที่มีชื่อพระราชทานอันเพราะพริ้งว่า “ม่านผาแก้ว” ภายในห้องนี้เราจะเริ่มเห็นความ

งดงามที่เต็มไปด้วยผลึกแคลไซต์ สีดั่งแก้วใสขาวเกาะอยู่ราวกับม่านเต็มถ้ำ มีทั้งแบบที่คล้ายปะการัง

คล้ายเข็ม และเกล็ดน้ำแข็ง ผลึกทั้งสามแบบมีความเปราะบางที่สุด ได้รับผลกระทบจากอากาศภายนอก

จนลดน้อยลงไปมาก ส่วนผลึกรูปปะการังเป็นผลึกขนาดเล็กละเอียด จับตัวต่อเนื่องเป็นผืน

จนเต็มผนังอย่างสวยงาม พบตอนในสุดของห้อง

 

1_display-8

 

แล้วก็มีมาถึงห้องสุดท้าย อยู่ลึกลงไปถึง 30 ม. เป็นห้องที่สวยงามที่สุด มีชื่อพระราชทานว่า

“เพริศแพร้วมณีบุปผา” เต็มไปด้วยผลึกแคลไซต์บริสุทธิ์ที่ยังไม่ได้รับผลกระทบ มีผลึกแคลไซต์

ที่สมบูรณ์ตั้งแต่พื้นจนจดผนัง ทั้งผลึกรูปเข็มและผลึกรูปปะการังสีขาวบริสุทธิ์ราวกับเกล็ดหิมะ

สวยตรึงตราตรึงใจ ถือเป็นการปิดท้ายการชมถ้ำ ที่งดงามมาก ๆ เลยทีเดียว

 

1260933119.jpg

 

ขอบคุณที่มา : emaginfo.com , ภาพจาก : atcloud.com

เรียบเรียงโดย Travel.Mthai